รู้จัก Robo Advisor ผู้ช่วยวางแผนการลงทุนอัจฉริยะ

December 9, 2021

SHARE

โลกยุคใหม่ที่ผู้คนหันมาสนใจลงทุนบวกกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ Robo Advisor ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเข้าถึงคนทั่วไปที่อยากลงทุนและต้องการที่ปรึกษาคอยช่วยเหลือ นอกจากนี้ ยังทำลายข้อจำกัดเกี่ยวกับการลงทุนหลายด้าน ทั้งเงินลงทุนที่ไม่มากนัก รวมถึงตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาข้อมูลด้านการลงทุนอีกด้วย

ถ้าอยากรู้ว่า Robo Advisor คืออะไร ทำงานอย่างไร เหมาะกับเราหรือไม่ มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง คำตอบอยู่ที่นี่แล้ว

 

Robo Advisor คืออะไร

Robo Advisor คือ “แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้บริการวางแผนการเงินและการลงทุนแบบอัตโนมัติ โดยใช้อัลกอริทึมที่นำทักษะจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาทำงานแทนมนุษย์” พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ใช้ AI เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนนั่นเอง ซึ่งหน้าที่ของ Robo Advisor จะคอยจัดพอร์ต ออกแบบสัดส่วนการลงทุน บริหาร และปรับสมดุลพอร์ต (Rebalancing) ตามวัตถุประสงค์และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของเรา

 

หลักการทำงานของ Robo Advisor

ก่อนเข้าสู่การทำงานของ Robo Advisor ผู้ลงทุนจะต้องระบุข้อมูลส่วนตัว จำนวนเงินที่ต้องการลงทุนครั้งแรก ระยะเวลาในการลงทุน และเงินลงทุนรายเดือน รวมถึงวัตถุประสงค์ในการลงทุน เช่น เพื่อเก็บออม เพื่อสร้างผลกำไร เพื่อการเกษียณ หรือเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น จากนั้นจะให้เลือกระดับความเสี่ยง ซึ่งมีตั้งแต่เสี่ยงต่ำมากไปจนถึงเสี่ยงสูงมาก

เมื่อระบุข้อมูลและความต้องการเสร็จเรียบร้อยแล้ว Robo Advisor จะจัดพอร์ตและแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และระดับความเสี่ยงตามที่เราเลือกไว้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลต่าง ๆ ที่มีการใส่ไว้ข้างต้น หากผู้ลงทุนพอใจกับพอร์ตที่ Robo Advisor ออกแบบให้ หลังจากนี้จะเป็นการเริ่มบริหารและปรับสมดุลพอร์ตอัตโนมัติตามสภาวะตลาด ซึ่งผู้ลงทุนสามารถติดตามพอร์ตของตัวเองได้ตลอดเวลาผ่านแอปพลิเคชัน

Robo Advisor เหมาะกับใคร

Robo Advisor เหมาะกับ “ทุกคนที่ต้องการลงทุน” โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลหรือยังมีความรู้ด้านการลงทุนไม่มากพอ ผู้ที่ไว้ใจเทคโนโลยีในการลงทุน และผู้ที่ไม่อยากใช้เงินครั้งละมาก ๆ ในการลงทุนด้วย

 

ข้อดี-ข้อเสียของ Robo Advisor

 

ข้อดี

1. คนทั่วไปเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากการลงทุนด้วย Robo Advisor ใช้เงินลงทุนไม่มากและเน้นความสม่ำเสมอ จึงเข้าถึงคนทั่วไปที่อยากเริ่มลงทุนได้ง่ายขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาข้อมูลด้านการลงทุนอีกด้วย

2. ค่าธรรมเนียมต่ำ
แน่นอนว่าการให้ Robo Advisor เป็นที่ปรึกษาในการลงทุนค่าธรรมเนียมย่อมต่ำกว่าอยู่แล้ว จากปกติที่ Human Advisor มักชาร์จเพิ่ม 1-2% ของมูลค่าพอร์ต แต่ Robo Advisor บางตัวชาร์จเพียง 0.25-0.5% เท่านั้น นอกจากนี้ ยังไม่คิดค่าคอมมิชชันในการซื้อ-ขายและปรับพอร์ต ซึ่ง Human Advisor บางรายมีการคิดเงินในส่วนนี้เพิ่มเติม

3. ปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ
ข้อดีของ Robo Advisor คือจะปรับสมดุลพอร์ต (Rebalancing) ให้อัตโนมัติเพื่อให้การลงทุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่เราตั้งไว้ ซึ่งผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องมาบริหารหรือซื้อ-ขายเอง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Robo Advisor ช่วยจัดการ

4. ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจลงทุน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนหลายคน คือ บางครั้งมักจะตัดสินใจซื้อ-ขายสินทรัพย์ด้วยอารมณ์แทนที่จะพิจารณาจากข้อเท็จจริง ส่งผลให้ขาดทุนกว่าที่ควรจะเป็น แต่การใช้ Robo Advisor จะตัดส่วนอารมณ์นี้ออกไป โดยจะวิเคราะห์สภาวะตลาดและพิจารณาขายสินทรัพย์ก็ต่อเมื่อราคาตลาดอยู่ในเกณฑ์ดีแล้วเท่านั้น

5. ใช้งานง่ายและปลอดภัย
เนื่องจากบริการ Robo Advisor สามารถใช้งานได้บนมือถือ จึงทำให้การลงทุนนั้นง่ายดายและสะดวก แถมยังติดตามพอร์ตได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ ยังมีการแสดงประวัติการซื้อ-ขายแจ้งให้ทราบ ซึ่งมั่นใจได้ว่าปลอดภัยและโปร่งใสแน่นอน

ข้อเสีย

1. ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้ 100%
ในบางครั้งผู้ลงทุนอาจอยากซื้อ-ขายกองทุนด้วยตัวเองเพราะคิดว่าผลลัพธ์น่าจะดีกว่า แต่ด้วยข้อจำกัดของ Robo Advisor กลับไม่สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้ เนื่องจากบางอย่างจำเป็นต้องเป็นไปตามกลยุทธ์ของ Robo Advisor นั่นเอง

2. มีข้อจำกัดในการเลือกสินทรัพย์
โดยปกติ Robo Advisor จะเป็นผู้คัดเลือกและแบ่งสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะกับวัตถุประสงค์และความเสี่ยงตามที่เลือกไว้ ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกสินทรัพย์ตามแผนใดก็ได้ที่ Robo Advisor ออกแบบไว้ให้ แต่จะไม่สามารถเลือกตามใจตัวเองหรือปรับแต่งเองได้ทั้งหมด ซึ่งในบางครั้งอาจจะจำกัดให้ลงทุนเฉพาะกองทุนรวมอย่างเดียว

3. ไม่สามารถปรึกษาแบบ Face-to-Face ได้
ข้อจำกัดของการมีที่ปรึกษาการลงทุนเป็น AI คือเวลาไม่แน่ใจหรือไม่สบายใจเกี่ยวกับการลงทุน ผู้ลงทุนจะไม่สามารถปรึกษาหรือพูดคุยได้เหมือนกับการมีที่ปรึกษาเป็นมนุษย์

4. อาจทำให้เข้าใจว่าไม่ต้องศึกษาเรื่องการลงทุน
แม้ Robo Advisor จะบริหารและปรับสมดุลพอร์ตให้เราอัตโนมัติ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ลงทุนจะไม่ต้องศึกษาเรื่องการลงทุนหรือติดตามพอร์ตเลย เพราะบางอย่างยังต้องอาศัยความเข้าใจด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม มีความรู้ย่อมดีกว่าไม่มี เพื่อที่ในอนาคตจะได้มีโอกาสลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ มากขึ้น

 

Summary

 

การทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ในการลงทุนคือสิ่งแรกที่นักลงทุนทุกคนควรรู้ เพื่อที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม และถึงแม้จะมี Robo Advisor ช่วยผ่อนแรงในเรื่องการศึกษาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน แต่ถ้าอยากไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น ความรู้ก็ถือเป็นบันไดที่จะทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายนั้น

อ้างอิง:

SHARE