Month: August 2019

ทำความรู้จัก KATALYST โครงการเร่งศักยภาพให้ Startup ไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน

Posted on by admin_beacon_2024

ปี 2019 นี้ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วย Digital Economy (DE) ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง เคียงข้างไปกับการอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Startup ไทย นักลงทุนจากทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจและมองหา Startup รายใหม่ๆ เป็นผู้เล่นในเกมธุรกิจ แต่จะทำอย่างไรให้ Startup ไทยแข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ

จุดนี้ คุณสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ผู้ดูแลโครงการ KATALYST จะมาฉายภาพให้ชัดเจนขึ้นว่า KATALYST คืออะไร และจะสามารถเร่งศักยภาพให้ Startup ไทย เติบโตได้อย่างยั่งยืน ตอบรับโอกาสที่กำลังเปิดกว้างนี้ได้อย่างไร ไปติดตามกัน

Q : KATALYST มีความเป็นมาอย่างไร และคำว่า “เพื่อนสนิทของชาว Startup” หมายถึงอะไร
คุณสุปรีชา : จริงๆ เริ่มต้นอย่างนี้ก่อน คือในกระบวนการเกิดของ Startup มีจุดสำคัญที่สุด 2 จุด จุดแรกคือ Idea และ Passion ว่าจะทำอะไร อีกส่วนคือระหว่างทางในการทำงาน เขาอาจต้องเจอโจทย์ธุรกิจต่างๆ แต่หลายรายยังขาดประสบการณ์ ยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาบางอย่างอย่างไร KATALYST ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารกสิกรไทย จำกัด จึงมีการกำหนดจุดยืนในฐานะ “เพื่อน” ที่สามารถช่วยเหลือ Startup และเร่งศักยภาพ ให้ Startup ไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ด้วยปัจจัย 2 ประการ

หนึ่งคือ เรามีธุรกิจหลายด้านที่สามารถมาต่อยอดให้กับ Startup ได้ แน่นอนว่างานของ Startup จะมีส่วนที่เกี่ยวกับ Payment (ระบบชำระเงิน) หรือธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ซึ่งกสิกรเองก็เป็น Digital Banking อยู่แล้ว เราจึงเน้นการให้คำแนะนำ และการนำบริการต่างๆ ของเรามาเชื่อมโยงเพื่อสร้างประโยชน์แก่เขา

สำคัญกว่านั้นคือส่วนที่สอง คือคำว่า “เพื่อน” ให้มองว่า KATALYST เป็นเพื่อนรุ่นพี่แล้วกัน เราเหมือนพี่เลี้ยงที่จะเข้ามาแนะนำในหลายเรื่อง เช่น ปัญหาที่เราเคยเจอ เราแก้ปัญหาอย่างไร Startup ที่เริ่มใหม่เปรียบเหมือนคนตัวเล็กๆ จะเดินไปคุยกับธุรกิจรายใหญ่ก็ไม่ง่ายนัก อาจพบโจทย์ยากๆ ที่เขาไม่คุ้นเคย KATALYST ก็จะเป็นคนพาเขาไปแนะนำว่าการติดต่อธุรกิจรายใหญ่มีจุดไหนที่ควรระวังบ้าง เตรียมความพร้อมให้เขาเจอกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร เป็นเพื่อนที่พร้อมที่จะค้นหาศักยภาพไปด้วยกัน

Q : จุดแตกต่างของ KATALYST กับโครงการ Accelerator อื่นๆ คืออะไร
คุณสุปรีชา : ถ้าพูดถึงศักยภาพ จริงๆ หลายบริษัทไม่ใช่เฉพาะธนาคารก็มีโครงการประเภท Accelerator หรือโครงการบ่มเพาะให้ Startup ซึ่งทุกคนก็มีเจตนาที่ดี โดยส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น Batch อบรมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง มาช่วยกันค้นหาสิ่งที่จำเป็นร่วมกัน แต่ในมุมของ KATALYST เราคิดว่าการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ บางครั้งอาจยังไม่พอ ความมุ่งมั่นของเราจะแตกต่างตรงที่เราคัดเลือกเคสที่คิดว่าสามารถทำธุรกิจได้จริง นำมาทำงานด้วยกัน เหมือนเราเป็นเจ้าของโปรเจกต์ร่วม ลองทำงานร่วมกับเขา ถ้าเขาประสบความสำเร็จ เราก็ประสบความสำเร็จไปกับเขา แต่ถ้าเฟล เราก็เฟลด้วย ซึ่งในระหว่างการทำงาน เราจะมุ่งใส่ Resource เข้าไปอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านกำลังเงิน กำลังคน รวมทั้งกำลังสมอง พยายามทำให้ชิ้นงานที่ทำร่วมกันนี้สามารถออกสู่ตลาดให้ได้ และตอบโจทย์ให้กับลูกค้าของทางธนาคารได้จริง

ทั้งนี้ Startup ในโครงการ KATALYST แต่ละรายจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน อยู่ในมิติที่แตกต่างกัน เราจึงไม่เคยกำหนดระยะเวลาว่าต้องอยู่ด้วยกันกี่วัน กี่เดือน แต่แน่นอนว่าต้องมีการวัดผล ไม่ใช่ทำไปอย่างไร้จุดหมาย แต่จะยึดเป้าหมายของแต่ละชิ้นงานหรือผลิตภัณฑ์ เป็น Milestone ที่เราตัดสินใจร่วมกัน เรียกว่าทำการพัฒนาและทำงานด้วยกันในระยะยาว นี่คือจุดแตกต่างของ KATALYST

Q : Win-Win Solution ตามที่ KATALYST ตั้งเป้าหมายไว้ จะเกิดขึ้นจริงได้อย่างไร
คุณสุปรีชา : เมื่อมองถึงรูปแบบ Startup ทั่วโลก จะเห็นว่าทุกคนมาด้วยนวัตกรรม ประกอบกับ 2 สิ่งที่ทำให้ Startup แข็งแรง หนึ่งคือ เขาไม่มีกรอบแนวคิดเก่าๆ ฉะนั้นเขาจะคิดอะไรที่สด เร็ว ไม่ยึดติดกรอบเดิมๆ สองคือความคล่องตัว ต่างจากการทำงานในระบบธนาคาร

ตัวอย่างเช่น ถ้าธนาคารจะทำโปรเจกต์สักชิ้น เราต้องผ่านขั้นตอนการพิจารณาและขออนุญาตมากมาย แต่ Startup มีความคล่องตัวที่จะทำได้เร็วและปรับโฟกัสได้ดีกว่า การทำงานผ่าน Startup จะช่วย ตอบโจทย์ของลูกค้าและตลาดโดยใช้ความเร็วและความคล่องตัวของเขาได้ ถือเป็น Win สำหรับธนาคาร

ในส่วนของ Startup แทนที่จะลองผิดลองถูกเองทั้งหมดหรือเสียเวลาไปสำรวจตลาดด้วยตนเอง KATALYST จะมีโจทย์ที่ชัดเจนให้ มีคลังข้อมูลจากลูกค้าประมาณ 80-90% การทำงานร่วมกันจะช่วยให้เขามี Learning Curve ที่เติบโต สามารถเรียนรู้ที่จะสร้างบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดได้จริง เหมือนเราช่วยสร้างทางลัดให้ ถือเป็น Win สำหรับ Startup

สุดท้าย เมื่อได้นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่พร้อมใช้งานก็จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าและภาคธุรกิจของ Startup โดยรวม ถือเป็น Win สำหรับลูกค้าของธนาคารครับ

Q : พันธมิตรของ KATALYST สามารถช่วยเหลือและสนับสนุน Startup ได้อย่างไรบ้าง
คุณสุปรีชา : ด้วยความที่ Ecosystem นี้ใหญ่มาก ในส่วนของ KATALYST แรกเริ่มเรามุ่งมั่นที่จะเป็นสะพานเชื่อม Startup ให้เข้าสู่ตลาด ช่วยหาคำตอบและ Solution ต่างๆ ให้เกิดความสำเร็จ สิ่งที่แน่นอนคือองค์ความรู้ ทั้งในด้านธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ KATALYST มี

ถัดมาคือเรารู้ว่าใครกำลังทำอะไรอยู่ ใครสามารถช่วยเราในเรื่องอะไรได้ สิ่งหนึ่งที่พบมากในการเริ่มต้นทำ Startup คือ ความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมาย โดยเฉพาะข้อจำกัด อะไรทำได้และทำไม่ได้ Startup หลายรายแม้กระทั่ง ในต่างประเทศ เมื่อถึงจุดหนึ่งอาจพบว่ามีสิ่งที่ละเมิดหรือฝ่าฝืนข้อกฎหมายโดยไม่ได้ตั้งใจ เราจึงมีพันธมิตรอย่าง Baker McKenzie บริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งมีทั้งความเข้าใจและลงทุนด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก มาเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำกับ Startup ในฐานะ Free Consultant ทั้งในแง่กฎหมายทั่วไปหรือการให้คำแนะนำเฉพาะด้าน

พันธมิตรสำคัญอีกราย คือ เมืองไทยประกันชีวิต ต้องบอกว่าสำหรับ Startup นอกจากผู้ก่อตั้ง พนักงานที่มาร่วมกันสร้างนวัตกรรมก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ด้วยการทำงานของ Startup สิ่งที่จะต่างจากการทำงานบริษัทในองค์กรใหญ่ๆ คือ สวัสดิการ เป็นเรื่องยากมากที่บริษัทเล็กๆ ระดับ 5-10 คนหรือแม้กระทั่ง 20 คน นอกจากประกันสังคมแล้ว จะสามารถเข้าถึงประกันสุขภาพได้อย่างเต็มรูปแบบ ในจุดนี้ เมืองไทยประกันชีวิต จะเข้ามาช่วยทำแพ็คเกจประกันหมู่ที่เหมาะสมให้กับ Startup คือนอกจากจะดูแล Business Model ทางการตลาดแล้ว เรายังดูแลพนักงานของเขา รวมถึงครอบครัวของเขาด้วย เพื่อลดอัตราการเปลี่ยนงาน ทำให้คนตัดสินใจและกล้าที่จะมาทำงานกับ Startup มากขึ้น

Q : บทบาทของ Beacon ในฐานะผู้ดูแลโครงการร่วมกับ KATALYST เป็นอย่างไร
คุณสุปรีชา : จริงๆ ต้องบอกว่าในกสิกร เรามีหน่วยงานที่ทำงานกับ Startup เยอะมาก เฉพาะแค่กองทุนจริงๆ มี 2 กอง Beacon Venture Capital ถือเป็น Major Capital ที่ลงทุนตั้งแต่ระดับ Series A ขึ้นไปจนถึงระดับที่เตรียมจะ Exit แล้ว เป็นการลงทุนในลักษณะ Financial Investor และเรายังมี KVision เป็นบริษัทที่ลงทุนในลักษณะ Strategic Investment คือลงทุนในสัดส่วนหุ้น เพื่อเข้าร่วมตัดสินใจหรือช่วยกำหนดทิศทางบางอย่าง

ในส่วนของ KATALYST เมื่อ Product ของ Startup ดีพอ และถึงขั้นที่ต้องการระดมทุนเพื่อขยายตลาดหรือทำอะไรเพิ่มเติม นักลงทุนผู้ร่วมดูแลโครงการ KATALYST อย่าง Beacon Venture Capital ก็พร้อมที่จะเข้ามาสนับสนุน ซึ่งไม่ใช่แค่การให้เงินทุน แต่ยังเป็น Financial Consultant หรือที่ปรึกษาทางการเงิน ควบคู่ไปกับการทำงานของธนาคารกสิกร ที่สามารถให้ความรู้ในด้านการบริหารจัดการการเงิน เพราะฉะนั้นก็จะเป็นส่วนเสริมกันไปครับ

Q : Startup ที่อยากเข้าร่วมโครงการ ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
คุณสุปรีชา : อันดับแรกเลย ถ้าไม่มีไอเดียเลยไม่ได้นะครับ อันนี้ขอออกตัวชัดเจนเลยว่า KATALYST ไม่ได้มุ่งเน้นการสร้างสรรค์ไอเดีย ที่ต้องเน้นจุดนี้เพราะ Idea กับ Passion ต้องมาจากตัวผู้ประกอบการก่อน เขาต้องมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะเอาชนะ ต้องเจอปัญหาบางเรื่องที่รู้สึกไม่โอเคกับสถานะแบบนี้ ไม่โอเคกับ ผลิตภัณฑ์แบบนี้ มีแนวคิดที่จะเอาชนะให้ได้ อยากสร้างสรรค์อะไรที่ดีกว่านี้ พอมีไอเดียเป็นจุดเริ่มต้น ตรงนี้ KATALYST เองยังไม่ได้ลงไปส่งเสริมชัดนัก คุณอาจจะไปเริ่มต้นอบรมหรือพัฒนาไอเดียจากที่อื่นก่อนก็ได้ จน Product Concept ของคุณชัดเจน มีทีมงานที่พร้อมทำ อาจจะมีแค่ 2-3 คนก็ได้ อย่าง Horganice ( Startup เกี่ยวกับการจัดการระบบหอพัก) ตอนเจอผมครั้งแรก เขาก็ไม่ได้ทีมขนาด 10-20 คน เขามีแค่ 3 คนเองมั้ง แต่ก็เป็น 3 คนที่เขาสามารถบอกได้ว่าแต่ละคนทำหน้าที่อะไรบ้าง เป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจน

จากนั้นจะถึงจุดที่มานั่งคุยกัน เพราะเราเชื่อมั่นว่าทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญ เป็นการปรับจูนกัน หากเป็นคนที่ไม่ ประนีประนอมหรือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย หรือบางคนไร้จุดยืน เราต้องการเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนตามหมด ก็อาจจะทำงานยากหน่อย ต้องหาจุดสมดุลด้วยกัน

Q : ความคาดหวังกับ KATALYST ในอนาคต
คุณสุปรีชา : สิ่งที่เราคาดหวังก็คือ ถ้า KATALYST ประสบความสำเร็จแล้วเดินต่อไปได้ เราจะสามารถสร้าง Startup ที่เป็นเพื่อนที่ช่วยให้กสิกรสามารถนำเสนอสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าของทางธนาคาร รวมทั้งอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะต้องสู้กับ Digital Disruption ได้ เราอยากเห็น Startup ยืนได้ด้วยตัวของตัวเอง ไม่ใช่แค่การขอความช่วยเหลือจากแบงก์ แต่เขาเองก็ได้องค์ความรู้บางอย่างที่สร้าง Impact ในตลาด ปีแรกเราทำร่วมกับ Startup จำนวน 4 ราย ได้แก่ Flowaccount , Builk One , Horganice และ Shippop ปีถัดไปอาจมีสัก 20 ราย ถ้าอีกสัก 5 ปี สามารถมีในลิสต์ได้สัก 100 ราย อันนี้เป็นความฝันเลยครับ

สตาร์ทอัพแบบไหน ที่เข้าตานักลงทุนรายใหญ่อย่าง Beacon VC

Posted on by admin_beacon_2024

ช่วงปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับ Startup ในประเทศไทยที่มีสถิติการเติบโต เป็นไปในเชิงบวก รวมทั้งโอกาสในการระดมทุนก็ดูเหมือนจะเปิดประตูกว้างขึ้น จากรายงานของ NIA หรือ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) เดือนพฤษภาคม 2561 พบว่า มีเงินทุนจาก CVC ( นักลงทุนที่สนับสนุนโดยองค์กร) มูลค่าถึง 35,000 ล้าน จากภาครัฐ 60,000 ล้าน และ VC ทั้งในและต่างประเทศ 20,000 ล้านบาท แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า Tech Startup ทุกรายจะคว้าโอกาสนั้นไว้ได้

วันนี้ KATALYST จึงขอพา Tech Startup ทุกท่าน ไปพูดคุยกับ คุณธนพงษ์ ณ ระนอง หัวเรือใหญ่แห่ง Beacon Venture Capital
 ผู้ร่วมดูแลโครงการ KATALYST ที่จะมาร่วมแชร์มุมมอง สร้างความเข้าใจ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีสร้างแรงดึงดูดให้นักลงทุนสนใจ เพื่อให้ Tech Startup สามารถขยายธุรกิจและเติบโตในระยะยาวได้ตามที่ฝันไว้

Q : Beacon VC มีนโยบายหลักในการลงทุนเป็นอย่างไร
คุณธนพงษ์ : Beacon VC เป็น CVC (Corporate Venture Capital) คือได้รับเงินลงทุนจากองค์กร ให้นำเงินไปลงทุนในบริษัทอื่นอีกที ในที่นี้คือ ธนาคารกสิกร ซึ่งกำหนดนโยบายชัดเจนว่า Beacon VC ไม่ได้เน้นผลกำไรเป็นหลักครับ แต่ต้องการให้เกิดเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมที่ช่วยให้การทำงานของธนาคารมีประสิทธิภาพดีขึ้น อีกด้านคือตอบโจทย์ลูกค้าของธนาคาร ถ้า Startup รายไหนสามารถตอบโจทย์ได้ เราก็จะวิ่งเข้าไปหาเขา ไม่ใช่แค่เขาวิ่งมาหาเราฝ่ายเดียว

อย่างไรก็ตาม การลงทุนส่วนใหญ่จะไม่มีการกำหนดสัดส่วนตายตัว แต่จะคำนึงถึงการลงทุนที่ Impact ในวงกว้าง ไม่ใช่แค่จำนวนเม็ดเงิน แต่จะมองถึงจำนวนผู้ใช้หรือลูกค้า ดังนั้นเราจึงเน้นการลงทุนที่มีตลาดในกลุ่ม Mass หรือผู้ใช้งานทั่วไป และกลุ่ม SME ที่มีฐานค่อนข้างใหญ่เป็นหลัก

Q : ส่วนใหญ่จะเห็นว่า Beacon VC โฟกัสการลงทุนใน Tech Startup ระดับ Series A เป็นต้นไป ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
คุณธนพงษ์ : เพราะ Series A คือคนที่มีของแล้วครับ ต้องเข้าใจก่อนว่า Beacon เป็นส่วนของการลงทุนเพื่อหาบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้จริง เราจึงหลีกเลี่ยงการลงทุนที่อยู่ในช่วงไอเดียหรือยังไม่มีของเลย ส่วน Series B ขึ้นไปในประเทศไทยยังมีน้อย แต่ถ้า Series A เริ่มหาไม่ค่อยได้ ก็มีบ้างที่เราจะลงมามองหาในระดับ Pre-series A ที่ต้องลงแรงมากขึ้น

อย่าง FlowAccount ซึ่งเป็น Startup ที่ทำระบบบัญชีออนไลน์ (Accounting Online) และอยู่ในโครงการ KATALYST เขาไม่ได้มีแค่ไอเดีย แต่มีโปรดักต์ที่ชัดเจน สิ่งที่เราช่วยได้นอกจากเงินลงทุน คือ ทำยังไงให้เขาเติบโต พาเขาไปพบกับกลุ่มลูกค้า SME ของเรา

เรามองว่าระบบบัญชีออนไลน์เป็นการสร้าง Value Add ให้แก่ลูกค้ากลุ่ม SME เพราะเขาจะได้รับสะดวกสบายมากขึ้น สามารถเชื่อมต่อบัญชีกับระบบได้ สามารถสรุปยอดจากบัญชีมาให้เลย ว่าตอนนี้มีเงินเท่าไหร่ เวลาจ่ายเงินเดือนก็แค่กดปุ่ม จะมีเงินเดือนเข้าอัตโนมัติ ไม่ต้องไปลงทุนซื้อระบบ HR แพงๆ เป็นฟังก์ชันง่ายๆ และค่าใช่จ่ายถูกกว่ามาก ตอนนี้ก็กำลังคุยจะทำระบบเพิ่มเติมร่วมกันอยู่ คิดว่าภายในปีนี้น่าจะได้เห็นกันครับ

Q : ถ้าอยากเข้าถึงนักลงทุน Startup ต้องมีอะไรบ้าง
คุณธนพงษ์ : ผมว่าการเข้าถึงนักลงทุนนั้นไม่ยาก แต่การเข้ามาคุยแล้วให้ได้รับการลงทุนต่างหากที่ยาก ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน ว่าธุรกิจของคุณตอบโจทย์ของนักลงทุนแค่ไหน ต้องรู้จักเลือกนักลงทุนให้เหมาะสม ต้องสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนว่า Startup ของคุณคุ้มค่า หรือแม้แต่การตั้งมูลค่าธุรกิจที่ไม่สูงจนเกินจริง นักลงทุนอาจจะมองว่าดีจริงแต่ราคาสูงเกินมูลค่า ถ้าลงทุนไป เขาอาจจะไปต่อไม่ได้ ไปขายต่อแพงกว่านี้ก็ไม่ไหว นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่นักลงทุนหลายคนบอกว่าไทยราคาสูงกว่าพื้นฐาน ทั้งที่จริงในเมืองไทยมีนักลงทุนเยอะมากและแย่งกันลงทุนอยู่แล้วนะ ถ้าคุณภาพของ Startup ดีพอและตอบโจทย์ของนักลงทุนรายนั้น ผมว่าหาเงินทุนได้ไม่ยากเลย

Q : การเลือกนักลงทุนให้เหมาะสม ต้องเลือกอย่างไร
คุณธนพงษ์ : ก่อนเลือกนักลงทุน ลองสำรวจก่อนว่า Startup ของคุณอยู่ Stage ไหน แล้วคุยกับนักลงทุนที่อยู่ใน Stage นั้น เช่น ถ้าคุณยังอยู่แค่ในระดับไอเดีย คุณต้องไปคุยกับนักลงทุนประเภท Angel ถ้าคุณมีแค่ MVP Product (Minimal Viable Product หรือ ผลิตภัณฑ์ตั้งต้น) อาจจะคุยกับพวก Seed Investor หรือถ้ามี Product ชัดเจนแล้ว อาจจะเริ่มคุยกับนักลงทุนระดับ Series A อย่างที่ Beacon VC ทำ

แต่ถ้าคุณยังอยู่ในระดับต้นๆ แล้วข้ามขั้นไปคุยกับ VC ที่เป็นนักลงทุนต่างประเทศระดับ Series A เลย เขาก็ไม่มาลงทุนกับคุณนะ เพราะคุณสมบัติของ Product ยังไม่ถึง Stage ของเขา เขาจะลงเงินก็ต่อเมื่อ คุณมีของแล้วและต้องมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะการเติบโตในต่างประเทศ การเลือกเข้าหานักลงทุนที่เหมาะสมจะเพิ่มโอกาสที่เป็นไปได้ให้คุณมากกว่า

Q : แล้วในมุมของ Beacon VC เป็นอย่างไร
คุณธนพงษ์ : สำหรับ Beacon VC ที่ผ่านมา กลุ่มที่เราต้องการลงทุนมากที่สุดคือ FinTech เพื่อส่งเสริมธนาคารให้ทำงานได้ดีขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าค่อนข้างหายากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น อีกกลุ่มที่เรามองว่ามีศักยภาพและน่าสนใจในปัจจุบัน คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ E-Commerce เพราะกำลังเติบโตได้ดี เมื่อทำงานร่วมกับ Startup ก็ต้องดูว่า Solution ของเขาเป็นยังไง ตอบโจทย์ได้จริงไหม มีข้อบกพร่องตรงไหน จะเกิดจุดอ่อนในการทำธุรกิจตรงไหน ต้องดูให้ครบถ้วนทุกแง่มุม

จากนั้นก็ดูว่าศักยภาพของเขาสามารถตอบโจทย์ในตลาดได้ไหม แข่งกับคู่แข่งได้ไหม สามารถเติบโตและแข่งไปได้ตลอดหรือเปล่า คือเขาต้องมีอะไรพิเศษที่เราเรียกกันว่า Unfair Advantage คืออะไรที่เขาเหนือกว่าคนอื่น มีทีมงานที่มีประสบการณ์ทำงานได้จริงหรือเปล่า มี Business Acumen หรือความหลักแหลมเชิงธุรกิจ ที่จะคุยกับแบงก์รู้เรื่องไหม มีการทดสอบระบบหรือสินค้าว่าพร้อมใช้จริงไหม สิ่งเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนมาก ซึ่งในโครงการ KATALYST เราก็จะร่วมกับทีม Digital Partnership ของกสิกรไทยในการพิจารณาและให้คำแนะนำ Startup ในแต่ละรายครับ

Q : คำแนะนำสำหรับ Startup ที่อยากเข้าร่วมโครงการของ KATALYST
คุณธนพงษ์ : สตาร์ทอัพที่อยากร่วมงานกับ KATALYST ควรพร้อมทำงานร่วมกับองค์กร สามารถใช้เวลาด้วยกัน ทำอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะแบบ B2B ที่ Startup บางคนอาจจะไม่ชิน เพราะติดวัฒนธรรมของสตาร์ทอัพที่ทำอะไรรวดเร็ว อาจจะขาดการจัดการด้านกระบวนการ การประยุกต์ความคิด หรือความยืดหยุ่นในเชิงธุรกิจ ถ้ามีความเข้าใจในส่วนนี้ด้วย จะทำให้การทำงานร่วมกันราบรื่นและเป็นไปได้อย่างแข็งแรงในระยะยาวครับ