Month: November 2021

Altcoin คืออะไร? เข้าใจวงจรฤดูกาล Alt season ในวงการคริปโต

Posted on by admin_beacon_2024

วงการ Cryptocurrency ไม่ได้มีแค่ Bitcoin ที่อยู่บนบังลังก์เพียงคนเดียว แต่ยังมี Altcoin ที่สามารถทำกำไรได้มากกว่าในช่วง Alt Season ถ้าอยากรู้ว่า Altcoin คืออะไร มีกี่ประเภท แตกต่างจาก Bitcoin อย่างไร และฤดูกาล Alt Season จะมาช่วงไหน คำตอบรอคุณอยู่ที่นี่แล้ว!

 

Altcoin คืออะไร?

“Altcoin” หรือ “Alternative Coin” แปลว่า “เหรียญทางเลือก” คือ เงินดิจิทัลหรือ Cryptocurrency สกุลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Bitcoin โดย Altcoin ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรอชิงบัลลังก์ Bitcoin หลังจากเห็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ แต่เงื่อนไขในการใช้ก็จะแตกต่างกันไป ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้น คือ ขณะนี้ทั่วโลกมี Altcoin มากกว่า 11,000 สกุลแล้ว ซึ่งคิดเป็นประมาณ 40% ของตลาดคริปโตทั้งหมด

ตัวอย่าง Altcoin ที่เราอาจคุ้นเคย เช่น Ethereum, Dogecoin, Litecoin, Binance Coin (BNB) เป็นต้น

 

Altcoin มีกี่ประเภท

 

BITCOURIER ได้แบ่งประเภทของ Altcoin เอาไว้ 4 ประเภท ได้แก่

 

1. Proof-of-Work (PoW) Altcoins

ใช้การขุดเหมือนกับ Bitcoin ใครอยากมีส่วนร่วมก็มาขุด ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลมาก และนักขุดทุกคนสามารถร่วมตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้นได้

ตัวอย่าง PoW altcoins: Ethereum (ETH), Bitcoin Cash (BCH), ZCash (ZEC), Litecoin (LTC)

 

2. Proof-of-Stake (PoS) Altcoins

ไม่ต้องขุดแต่ใช้เงินอย่างเดียว ซึ่งประหยัดพลังงานกว่า Proof-of-Work พูดง่าย ๆ ก็คือใครรวยมากจะมีโอกาสเข้ามายืนยันการทำธุรกรรม แต่ก็ต้องวางเงินเป็นหลักประกันมากด้วยเช่นกัน ดังนั้น การยืนยันจึงโปร่งใสเพราะมีเงินค้ำประกันอยู่

ตัวอย่าง PoS altcoins: Ethereum 2.0 (ETH2), Cardano (ADA), Tezos (XTZ), Tron (TRX)

 

3. DeFi Altcoins

Altcoin ประเภทนี้เกิดมาเพื่อโค่นล้มตัวกลางอย่างธนาคาร ซึ่งคอนเซ็ปต์คล้ายกับ Bitcoin แต่ DeFi Altcoins จะสามารถเขียนคำสั่งที่ซับซ้อนลงไปได้ นำมาซึ่ง “สัญญาอัจฉริยะ” (Smart Contact) ที่ใช้ในการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันการโกง ในขณะที่ Bitcoin ยังไม่สามารถเขียนคำสั่งที่ซับซ้อนได้

ตัวอย่าง DeFi altcoins: Compound (COMP), Uniswap (UNI), PancakeSwap (CAKE), Aave (Lend), Synthetix (SNX)

 

4. Stablecoins

Altcoin ประเภทนี้เกิดมาเพื่อทำให้ราคาเงินดิจิทัลเสถียรมากขึ้น โดยอ้างอิงมูลค่าเหรียญไว้กับอะไรบางอย่าง เช่น เงินดอลลาร์ เงินปอนด์ เงินยูโร หรือเงินดิจิทัลสกุลอื่น ๆ รวมไปถึงทองคำเพื่อลดความผันผวน แต่ก็มีบาง Stablecoins ที่ไม่ได้ถูกอ้างอิงจากสินทรัพย์ใด ๆ แต่ใช้กลไกลดจำนวนเหรียญเมื่อราคาเริ่มด้อยลง หรือเพิ่มจำนวนเหรียญเมื่อราคาเริ่มสูงเกินไป

ตัวอย่าง Stablecoins: Tether (USDt), Circle USD (USDC), PAX Gold (PAXG), Gemini USD (GUSD)

Altcoin vs Bitcoin แตกต่างกันอย่างไร

 

Bitcoin

Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกที่มีมูลค่าสูงสุดในวงการ Cryptocurrency ซึ่งใช้ เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำธุรกรรมการเงินต่าง ๆ โดยไม่ต้องผ่านคนกลางอย่างธนาคาร พูดง่าย ๆ คือ อยู่ที่ไหนบนโลกก็สามารถทำธุรกรรมการเงินข้ามประเทศได้ แถมค่าธรรมเนียมยังถูกกว่ามาก ทั้งยังปลอดภัยสูงและน่าเชื่อถือ เรียกได้ว่ายังไม่มีใครเคยแฮ็กและปลอมแปลงข้อมูลได้เลย

 

Altcoin

Altcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลตัวอื่น ๆ ที่เกิดหลัง Bitcoin ดังนั้น เทคโนโลยีเบื้องหลังจึงมีการพัฒนาให้ใหม่กว่า เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย

นอกจากนี้ ยังมีความผันผวนสูงกว่า Bitcoin เมื่อไรที่ราคาของ Bitcoin ลดลง ราคาของ Altcoin บางตัวจะลดลงมากกว่า Bitcoin เกือบสองเท่า

แต่เมื่อไรที่ Altcoin ราคาพุ่ง ก็จะวิ่งแรงแซงหน้า Bitcoin ไปเลย จึงไม่แปลกที่นักลงทุนจะชอบความผันผวนนี้เพราะทำกำไรได้เร็ว

รู้จัก Alt Season คืออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร?

Alt season คือ ช่วงเวลาที่ Altcoin ส่วนใหญ่ให้ผลกำไรมากกว่า Bitcoin โดยฤดู Alt season เกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่

  • Altcoin ได้รับความนิยม มีเหรียญใหม่ ๆ ออกมามากขึ้น หรือเหรียญเดิมปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ Bitcoin Dominance เปลี่ยนแปลง ตอนนี้เองที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า Alt Season กำลังมาแล้ว
  • Altcoin เจ้าใหญ่ ๆ มีราคาสูงกว่า Bitcoin เช่น Ethereum (ETH), Ripple (XRP) หรือ Binance Coin (BNB) เป็นต้น ซึ่งมีแนวโน้มที่จะดึงให้ Altcoin ตัวอื่น ๆ ราคาพุ่งสูงไปด้วย
  • Bitcoin Dominance ลดลง เกิดจากนักลงทุนหน้าใหม่เทเงินลงใน Altcoin เพราะคิดว่า Bitcoin เริ่มแพงและหวังว่า Altcoin จะเติบโตได้มากกว่านี้

จะรู้ได้อย่างไรว่า Alt Season กำลังจะมา

หากอยากรู้ว่า Alt Season จะมาเมื่อไร สามารถดูได้จาก Bitcoin Dominance ซึ่งเป็นกราฟแสดงสัดส่วนของคนที่ถือ Bitcoin กับ Altcoin อยู่

ถ้า Bitcoin Dominance อยู่ที่ 60 แสดงว่าสัดส่วนของคนที่ถือ Bitcoin : Altcoin = 60 : 40 ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องดูราคาของ Bitcoin ควบคู่ไปด้วย

  • Bitcoin Dominance ลง ราคา Bitcoin Sideway (ไม่มีแนวโน้มชัดเจน) แสดงว่าเริ่มเข้าสู่ Alt Season เพราะเห็นว่าราคาของ Bitcoin ไม่วิ่งไปไหนสักที คนจึงเริ่มเอาเงินไปลงที่ Altcoin ที่มีแนวโน้มวิ่งได้แรงกว่า
  • Bitcoin Dominance ลง ราคา Bitcoin ขึ้น ทำให้คนหันมาสนใจ Altcoin จนเกิดฤดูกาล Alt Season เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็น Altcoin ทำกำไรได้มากกว่า แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะเทขาย Bitcoin เพื่อมาเก็งกำไรใน Altcoin ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้งเหมือนกับปี 2018 หรือไม่ ที่ราคา Bitcoin ตกลงอย่างรวดเร็วถึงขั้นติดลบไปกว่า 80% จากราคา 20,000 ดอลลาร์ เหลือแค่ 3,000 ดอลลาร์ ส่งผลให้ Altcoin ที่มาแรงในช่วงนั้นตกกระไดพลอยโจนไปด้วย ติดลบกันระนาว 80-90% ที่น่าเสียดาย คือ Altcoin บางเหรียญหายไปและไม่กลับมาอีกเลย

 

Summary

 

สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครรู้ได้ว่า Alt Season จะอยู่นานแค่ไหน? และ Altcoin จะพลิกโฉมวงการคริปโตและผงาดขึ้นมาแทนที่ Bitcoin หรือไม่? แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกำไรอย่างรวดเร็ว Altcoin ถือเป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว อย่างไรก็ตาม Altcoin ขึ้นชื่อเรื่องความผันผวนสูง เพราะฉะนั้น ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนลงทุน

อ้างอิง:

API คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์

Posted on by admin_beacon_2024

หลายคนอาจไม่รู้จัก API ว่าคืออะไร ถ้าให้ใกล้ตัวที่สุดคงจะเป็นแอปฯ สั่งอาหารเดลิเวอรีที่มักดึงแผนที่จาก Google Map มาอยู่ในแอปฯ ของตัวเองโดยไม่ต้องสร้างแผนที่ขึ้นมาใหม่

แต่นี่เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการใช้ API เท่านั้น ยังมีอีกหลายรูปแบบที่เราไม่รู้มาก่อนอีกด้วย ซึ่งพูดได้เต็มปากเลยว่า เกือบทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราล้วนใช้ API ทั้งสิ้น แต่ก่อนที่จะไปดู เรามาทำความรู้จัก API เบื้องต้นกันก่อนว่าคืออะไร ทำไมนักการตลาดออนไลน์ถึงควรให้ความสำคัญ ถ้าพร้อมแล้ว! ตามมาเลย

 

API คืออะไร

API (Application Programming Interface) คือ ตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่าง “ผู้ใช้บริการ” กับ “ผู้ให้บริการ” โดยทั้งสองต่างเป็นโปรแกรมด้วยกันทั้งคู่ เมื่อผู้ใช้บริการต้องการข้อมูลบางอย่าง API จะทำหน้าที่ส่งต่อคำขอไปยังผู้ให้บริการและส่งข้อมูลกลับมาที่ผู้ใช้บริการโดยอัตโนมัติ แต่มีข้อแม้ว่าผู้ให้บริการจะต้องยินยอมเปิดข้อมูลนั้นเพื่อให้นำไปใช้ได้

หากอ้างอิงจากตัวอย่างที่กล่าวไปตอนต้น แอปฯ สั่งอาหารเดลิเวอรี = ผู้ใช้บริการ, Google Map = ผู้ให้บริการนั่นเอง

สำหรับคนที่ยังไม่เห็นภาพมากนัก เราลองมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น สมมติผู้ใช้บริการเปรียบเสมือนลูกค้าที่มาทานอาหารในโรงแรม เมื่อลูกค้าอยากทานเมนู A บริกรจะต้องรับคำสั่งและไปบอกให้ครัวจัดเตรียมอาหารและมาส่งให้กับลูกค้า ซึ่งบริกรก็คือ API ส่วนข้อมูลก็คืออาหารในห้องครัวนั่นเอง

 

ชนิดของ API

  • Private API: นิยมใช้กันภายในองค์กร คนนอกไม่สามารถใช้ได้
  • Partner API: ใช้ได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
  • Public API: ทุกคนสามารถใช้ได้

 

ทำไม API ถึงสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์

 

1. เพิ่มความคล่องตัวให้กับการทำงานของแบรนด์

API ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับแอปฯ หรือเว็บไซต์ของแบรนด์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งแบรนด์ไม่ต้องทำเองทั้งหมด แต่ให้ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ จัดการให้เรา เช่น เราขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ต้องมีการบวกภาษี เราอาจจะใช้ API ที่เป็นระบบคำนวณภาษีอัตโนมัติเข้ามาช่วย ซึ่งไม่ต้องคอยอัปเดตเองตลอดเวลาเมื่ออัตราภาษีมีการเปลี่ยนแปลง

 

2. เข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

หนึ่งเหตุผลที่ทำให้ API สำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ คือ API ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้เวลานาน สมมติลูกค้าจะขอ Statement บนแอปฯ ของธนาคารแห่งหนึ่ง API ก็จะทำหน้าที่ส่งคำขอและรับข้อมูลกลับมาส่งให้ลูกค้าทางอีเมลได้ทันที

 

3. สร้างความโดดเด่นให้เหนือกว่าคู่แข่ง

ไม่แปลกใจที่การใช้ API จะช่วยให้แบรนด์ดูโดดเด่น เพราะสิ่งนี้ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ปลายทาง ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความสะดวกสบาย รวดเร็วทันใจ และแตกต่างจากผู้อื่น

หากลองสังเกตเราจะเห็นว่า ในไทยนิยมดู Netflix กันมากเพราะคอนเทนต์หลากหลาย แถมดูได้หลายอุปกรณ์ทั้ง Smart TV, Apple TV, Laptop, Tablet, Smartphone หรือแม้แต่ PS4-PS5 ซึ่งจริง ๆ แล้ว Netflix ไม่ได้พัฒนาซอฟแวร์เองเพื่อให้เล่นได้ทุกอุปกรณ์ แต่แค่เปิด API ให้นักพัฒนาซอฟแวร์เข้าถึงระบบของเขาได้นั่นเอง ทำให้ปัจจุบันมีอุปกรณ์มากกว่า 800 ชนิดที่สามารถเล่น Netflix ได้

 

4. ช่วยเพิ่มยอดขาย

ไม่ว่าจะทำธุรกิจประเภทไหน คุณสามารถเลือกใช้ API ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้ เมื่อผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการใช้ API ยอดขายก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

ตัวอย่างการใช้งาน API ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง

Social Media API

โดยปกติโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มมีการใช้ API ทั้งสิ้น ยกตัวอย่าง

    • Facebook API เช่น การดึง Facebook Insight หรือ Automate Ad Management ที่สามารถสร้างเทมเพลตโฆษณาได้หลายอันพร้อมกันเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของโฆษณา
    • Instagram API เช่น Discovering @mentions ที่รวบรวมบัญชีที่กล่าวถึงแบรนด์เพื่อเก็บข้อมูลหรือตอบกลับคอมเมนต์
    • Youtube API เช่น การเปลี่ยนชื่อคลิปวิดีโอให้ตรงตามยอดวิวแบบเรียลไทม์ (เล่าเรื่องผี 1,000,000 วิว เมื่อเวลาผ่านไปมียอดถึง 2,000,000 วิว ชื่อคลิปก็จะเปลี่ยนให้อัตโนมัติ)

 

Google Ads API

Google Ads API เป็นตัวช่วยที่ให้ผู้ลงโฆษณาจัดการบัญชีและแคมเปญ Google Ads ขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกได้ว่ามีประโยชน์ต่อกลุ่มเอเจนซีโฆษณา บริษัทที่ทำ SEM หรือแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่ต้องจัดการกับแอคเคานต์จำนวนมาก

โดยหลัก ๆ เราสามารถใช้ Google Ads API ดึงรีพอร์ตแบบกำหนดเองได้ (Custom Reporting), จัดการโฆษณาตามแต่ละพื้นที่ (Ad Management Based on Inventory) หรือวางกลยุทธ์การประมูล (Manage Smart Bidding Strategies) เป็นต้น

 

PayPal API

เมื่อเราซื้อสินค้าที่แอปฯ หนึ่งแล้วเลือกชำระเงินผ่าน PayPal แอปฯ จะส่งคำสั่งซื้อไปที่ PayPal API โดยระบุจำนวนเงินที่ต้องชำระพร้อมกับรายละเอียดที่สำคัญอื่น ๆ จากนั้นจะตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้และยืนยันการซื้อ หากไม่มีปัญหาอะไร API จะส่งการยืนยันการชำระเงินกลับมาที่แอปฯ เพื่อบอกว่าการชำระเงินเสร็จสิ้นแล้ว

 

Login API

นี่น่าจะเป็น API หนึ่งที่เราคุ้นเคยกัน เคยไหมเวลาจะลงทะเบียนบนแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์มักจะมีปุ่ม “Login with Facebook” หรือ “Sign in with Google” ให้เราเลือกโดยที่ไม่ต้องกรอกอีเมลและรหัสผ่านใหม่ ซึ่งแอปฯ หรือเว็บไซต์จะเรียก API มาตรวจสอบว่าเราล็อกอิน Facebook หรือ Google ไว้แล้วหรือยัง ถ้า Login แล้ว เราก็สามารถลงชื่อเข้าใช้ผ่านปุ่ม “Login with Facebook” หรือ “Sign in with Google” ได้เลย

 

Financial Apps

ทุกธนาคารมีการใช้ API ภายในเพื่อจัดการการเงินของผู้ใช้บริการซึ่งมีการเชื่อม API ไปแต่ละแผนก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบัญชีออมทรัพย์ ข้อมูลบัตรเครดิต หรืออื่น ๆ นอกจากนี้ บางธนาคารยังมีการเปิด API ของตัวเองให้แอปฯ ของนักพัฒนาภายนอกสามารถเชื่อมกับแอปฯ ธนาคารเพื่อชำระเงินได้อีกด้วย

อย่าง Katalyst ก็ได้เปิด API ของตัวเองเช่นกัน นั่นก็คือ บริการ QR Payment ที่ให้ Partner ส่งข้อมูลมายัง API แล้วแปลงข้อมูลเป็น QR Code ทันทีเพื่อให้ลูกค้าสแกนชำระเงินได้สะดวก

 

Weather Apps

หากเราเคยเช็กสภาพอากาศผ่าน Google หรือ Siri รู้ไว้เลยว่าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้รวบรวมสภาพอากาศด้วยตนเอง แต่เป็นการใช้ API ส่งคำขอเพื่อดึงข้อมูลสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยานั่นเอง

 

Summary

 

อ่านบทความนี้แล้ว หลายคนคงได้เห็นตัวอย่างการใช้ API กันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการดึงแผนที่จาก Google Map มาใส่ไว้ในแอปฯ หรือเว็บไซต์ของตัวเอง การดึง Insight จากโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ หรือการลงชื่อเข้าใช้โดยล็อกอินผ่าน Facebook, Google, เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น

หากลองสังเกตเราจะเห็นว่า ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นล้วนเกี่ยวข้องกับการทำการตลาดออนไลน์ นอกจาก API จะเพิ่มความคล่องตัวให้กับการทำงานของแบรนด์และเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายแล้ว ยังสามารถสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือยอดขายนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การใช้ API ยังมีอีกมากมาย ซึ่งนักการตลาดอย่างเราต้องไปค้นหาและนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับกับธุรกิจ ถึงวันนั้น เราอาจกลายเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จเร็วขึ้นก็เป็นได้

อ้างอิง:

Beacon VC and Fuchsia VC Invest in Pantera Capital’s Latest Blockchain Fund

Posted on by admin_beacon_2024

Beacon Venture Capital (Beacon VC), the corporate venture capital arm of Kasikornbank PLC. (SET: KBANK), and Fuchsia Venture Capital (Fuchsia VC), the corporate venture capital arm of Muang Thai Group Holding, an affiliate of Kasikornbank PLC., invest in Pantera Capital’s latest Blockchain Fund. The new Blockchain Fund is intended to cover the entire spectrum of blockchain assets and the fund will be exposed to digital asset and blockchain markets through the investment primarily in venture equity and early-stage.