Month: December 2023

KATALYST STARTUP LAUNCHPAD ปี 4 เสริมศักยภาพสตาร์ทอัพไทย ให้แข็งแกร่งครบวงจรอย่างยั่งยืน

Posted on by [email protected]

KBank โดย Beacon VC เดินหน้าเสริมความแข่งแกร่งสตาร์ทอัพไทยกับโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2023 ปีที่ 4

 

โครงการดีๆที่มุ่งถ่ายทอดหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจเพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพพัฒนาธุรกิจและเติบโตอย่างยั่งยืนก้าวทันเทคโนโลยีพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง

หลังการเรียนรู้ตลอด 9 สัปดาห์สุดเข้มข้น ทั้ง 10 ทีมก็ถึงคราวนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการเพื่อชิงเงินรางวัลและโอกาสต่อยอดทางธุรกิจ  

 

ภาพรวมของโครงการในปีนี้เป็นอย่างไร และทีมไหนมีผลงานน่าสนใจบ้าง เรามาร่วมติดตามไปพร้อมกันได้เลย!

โครงการ  KATALYST STARTUP LAUNCHPAD เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนผ่านโครงการวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นำโดยรองศาสตราจารย์ Charles (Chuck) Eesley และพันธมิตรในด้านต่างๆ

 

โดยปีนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้อย่างเข้มข้นตลอด 9 สัปดาห์ จากเหล่าเมนเทอร์ชั้นนำจากหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงยังมีโอกาสสร้างเครือข่ายและต่อยอดการทำธุรกิจกับผู้ร่วมโครงการทั้งรุ่นก่อนและรุ่นปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้มีสตาร์ทอัพที่เป็นเครือข่ายธุรกิจมากถึง 200 รายเลยทีเดียว

 

คุณธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซีเผยว่า KBank มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยให้แข็งแกร่งอย่างครบวงจร ทั้งการสนับสนุนเงินทุน องค์ความรู้ความเข้าใจ รวมถึงได้ลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน เพื่อให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง สามารถตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจ และนำความรู้ดังกล่าวไปใช้ได้จริง

 

 

ในปีนี้ยังมีสตาร์ทอัพที่น่าสนใจต่างจากปีที่ผ่านๆ มา มีการนำ Passion มาต่อยอดเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ มีการใช้ Deep Tech และ AI เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

 

KATALYST STARTUP LAUNCHPAD 2023 มีทีมสมัครเข้าร่วมกิจกรรมมากถึง 200 ทีมด้วยสตาร์ทอัพที่หลากหลาย ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมหลักสูตร 62 ทีม กระทั่งคัดเลือกจนเหลือ 10 ทีมสุดท้ายนำเสนอผลงานต่อหน้าคณะกรรมการในรอบชิง

 

 

ทีมที่คว้าชัยไปในปีนี้คือทีม Tambaan.co ระบบจ้างงานผู้รับเหมาให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่คัดเลือกผู้รับเหมาควบคุมงานก่อสร้างเพื่ออุดรอยรั่วและแก้ไขปัญหาการทุจริตในงานก่อสร้างอย่างเป็นระบบ

 

 

อันดับที่ 2 ได้แก่ทีม Plant Origin ผลิตภัณฑ์ทดแทนไข่ที่ทำมาจากโปรจีนไฮโดรไลเซตสกัดจากรำข้าวเพื่อผู้ที่มีปัญหาในการรับประทานไข่และช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนไข่ในประเทศ

 

 

อันดับที่ 3 ได้แก่ทีม PreceptorAI แพลตฟอร์มเพื่อช่วยบุคคลากรทางการแพทย์วินิจฉัยโรคและดูแลคนไข้ โดยการใช้เทคโนโลยี AI ที่เทรนด้วยข้อมูลเวชปฏิบัติของประเทศไทยช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์

 

 

ทางโครงการยังมีรางวัล The Sustainable Innovation Award มอบให้กับทีมที่มีวิสัยทัศน์ด้ายนวัตกรรมที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกใหกับสังคมได้อย่างยั่งยืน

 

ทีม Modgut แพลตฟอร์ม AI ขั้นสูงที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีไมโครไบโอม (จุลินทรีย์ในลำไส้) นำเสนอโซลูชันด้านสุขภาพที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล คว้ารางวัลนี้ไปครอง

 

นอกจากนี้ ทุกทีมที่ผ่านเกณฑ์ของหลักสูตร ยังได้รับสิทธิประโยชน์พร้อมการสนับสนุนเครื่องมือต่อยอดทางธุรกิจ รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

 

ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาด้าน UX/UI จาก Beacon Interface, Cloud Credit จาก Amazon Web Service (AWS), และ Co-working Space จาก True Digital Park รวมทั้งประกาศนียบัตรจาก KATALYST by KBank และประกาศนียบัตรสำเร็จหลักสูตรการเรียนรู้แบบออนไลน์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดถือเป็นใบเบิกทางสำคัญขยายเครือข่ายธุรกิจต่อไป

ถอดรหัส CBAM: เส้นทางสู่กรอบแห่งมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน

Posted on by beaconvcadmin

สหภาพยุโรปได้เริ่มดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามวิสัยทัศน์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือใน ค.ศ. 2050 โดยหนึ่งในโครงการริเริ่มที่เป็นที่รู้จักกันดี คือมาตรการการกำหนดราคาคาร์บอนสำหรับบริษัทที่ประกอบธุรกิจในสหภาพยุโรปผ่านระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ EU Emission Trading System (EU ETS) ซึ่งสร้างผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์นับตั้งแต่ปี 2548 มาตรการดังกล่าวเป็นการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับแต่ละกิจการ โดยผู้ผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าจำนวนที่ระบุไว้สามารถขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อให้ผู้ผลิตรายอื่นได้ อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ส่งผลให้ผู้ผลิตในสหภาพยุโรปเกิดความเสียเปรียบ จนนำมาซึ่งการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมมีความเข้มงวดน้อยกว่า ทั้งนี้ ในปี 2562 สหภาพยุโรปได้กำหนด European Green Deal เพื่อเร่งดำเนินการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและสร้างความยั่งยืน โดยแผนการปฏิรูปสีเขียวของสหภาพยุโรปประกอบด้วยกลยุทธ์และมาตรการที่หลากหลาย โดยหนึ่งในนั้นคือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ Cross-Border Carbon Adjustment Mechanism (CBAM) ซึ่งเป็นมาตรการที่จะช่วยให้สหภาพยุโรปสามารถก้าวสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนเป็นศูนย์ได้ ขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มอุตสาหกรรมในสหภาพยุโรปจากค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมที่สูงกว่า

CBAM มีความสำคัญต่อภาคธุรกิจ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้มีส่วนได้เสียทั่วโลกอย่างยิ่ง มาตรการนี้แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ของสหภาพยุโรปในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราจึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ CBAM อย่างละเอียด ตั้งแต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท กรอบระยะเวลาการปรับใช้มาตรการ วิธีการคำนวณการปล่อยมลพิษภายใต้มาตรฐานของ CBAM รวมถึงวิธีการที่ผู้ผลิตสามารถนำมาใช้วัดผล ลด และทำธุรกรรมชดเชยการปล่อยมลพิษจากการประกอบธุรกิจในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้

อย่างไรก็ตาม CBAM ไม่เพียงสร้างความท้าทายให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ยังสร้างโอกาสให้กับองค์กรและหน่วยงานหลายภาคส่วน เมื่อผู้ผลิตกำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อรับมือการเปลี่ยนผ่านสู่ CBAM สถาบันการเงินก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่จะช่วยเหลือสนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่ภาคธุรกิจ การทำงานร่วมกันเช่นนี้จะเร่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่สะอาดและยั่งยืนมากขึ้น ในบทความนี้ เราจึงอยากเชิญชวนทุกท่านมาร่วมเดินทางไปถอดรหัส CBAM และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเส้นทางสู่ยุคแห่งมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนกัน

CBAM คืออะไร

CBAM เป็นหนึ่งในโครงการภายใต้ European Green Deal ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อให้สหภาพยุโรปเป็นทวีปแรกที่บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2593 ภายหลังจากที่ได้กำหนดเป้าหมายจูงใจนี้ สหภาพยุโรปได้กำหนดหลักเกณฑ์มาตรการภาษีคาร์บอนหลายประการสำหรับผู้ผลิตในสหภาพยุโรป และได้ประกาศมาตรการ CBAM เพื่อส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและขจัดข้อได้เปรียบด้านราคาของผลิตภัณฑ์นำเข้าจากภูมิภาคที่มาตรการด้านคาร์บอนเข้มงวดน้อยกว่า กล่าวโดยสรุป CBAM เป็นมาตรการการเก็บภาษีคาร์บอนโดยสหภาพยุโรป จากการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงในกระบวนการผลิต โดยมีค่าเทียบเท่ากับภาษีคาร์บอนที่เก็บจากสินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตในสหภาพยุโรปสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณเท่ากัน

ในระยะเริ่มต้น ผู้นำเข้าในสหภาพยุโรปมีหน้าที่เพียงรายงานการปล่อยคาร์บอนของสินค้านำเข้าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปของมาตรการนี้ ผู้นำเข้าจะต้องซื้อ CBAM Certificate เพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างค่าคาร์บอนที่ผู้ผลิตในสหภาพยุโรปต้องชำระกับค่าคาร์บอนที่ผู้ผลิตต่างชาติได้ชำระในประเทศต้นทาง ทั้งนี้ ผู้นำเข้าจะต้องเก็บข้อมูลต่อไปนี้เพื่อการปฏิบัติตามกรอบมาตรการที่จะถูกบังคับใช้

1. ปริมาณสินค้านำเข้าทั้งหมด

2. ค่าคาร์บอนที่ชำระแล้วในประเทศต้นทางสำหรับสินค้าดังกล่าว

3. ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงและทางอ้อมตามจริงของผลิตภัณฑ์นำเข้า

ขอบเขตและกรอบเวลาของ CBAM

ระยะเปลี่ยนผ่านของ CBAM มีผลบังคับใช้ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – ธันวาคม 2568 โดยในระยะนี้ ผู้นำเข้ามีหน้าที่เพียงรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าดังที่กำหนดข้างต้นเท่านั้น แต่ยังไม่จำเป็นต้องรับรองข้อมูลหรือซื้อ CBAM Certificate ขอบเขตของผลิตภัณฑ์ที่รวมอยู่ในระยะแรกคือธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนในปริมาณความเข้มข้นสูง 6 ภาคส่วน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของคาร์บอนสูง ได้แก่ ซีเมนต์ อลูมิเนียม ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า ไฟฟ้า และไฮโดรเจน

CBAM จะเข้าสู่การบังคับใช้ระยะถาวรในเดือนมกราคม ปี 2569 โดยผู้นำเข้าจะต้องดำเนินการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง นำข้อมูลที่จะนำส่งไปให้ผู้รับรองที่ได้รับอนุญาตรับรองข้อมูล ตลอดจนซื้อ CBAM Certificate สำหรับส่วนต่างค่าคาร์บอนที่ได้ชำระแล้วในประเทศต้นทาง ทั้งนี้ สหภาพยุโรปจะนำข้อมูลที่ได้รับจากช่วงเปลี่ยนผ่านมาทบทวนเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ CBAM โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อาจถูกรวมอยู่ในระยะที่สอง ได้แก่ สารเคมีอินทรีย์ พลาสติก และแอมโมเนีย นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังมีแผนที่จะเพิ่มขอบเขตของ CBAM ให้ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่สำคัญอีกหลายประเภท โดยมีเป้าหมายจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นในปี 2573

 

รายละเอียดการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ CBAM

ขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามแนวปฏิบัติ CBAM จะคล้ายคลึงกับขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กำหนดโดยมาตรฐานการจัดทำบัญชีและการรายงานก๊าซเรือนกระจกสำหรับองค์กร (GHG Protocol) ซึ่งจะแบ่งขอบเขตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

ที่มา: Zevero

  • ขอบเขตที่ 1 หมายถึง การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานหรือจากทรัพย์สินของบริษัทเองโดยตรง เช่น การใช้พลังงานฟอสซิลในการผลิตหรือการขนส่ง
  • ขอบเขตที่ 2 หมายถึง การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัททางอ้อมอันเนื่องมาจากกิจกรรมสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้ไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศหรืออุปกรณ์ให้แสงสว่าง
  • ขอบเขตที่ 3 หมายถึง การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่บริษัทอาจปล่อยออกมาจาก Value Chain เช่น การให้บริการด้านการเงินแก่ธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการซื้ออุปกรณ์สำนักงานที่อาจปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างกระบวนการผลิต

ที่มา: คณะกรรมาธิการยุโรป

โดยสรุป การปล่อยมลพิษทางตรงตามมาตรการ CBAM คือการปล่อยมลพิษในขอบเขตที่ 1 ตาม GHG Protocol ซึ่งรวมถึงก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการผลิตจากการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิง หรือการปล่อยมลพิษที่เป็นผลพลอยได้จากปฏิกิริยาทางเคมี หรือกระบวนการสร้างความร้อนและความเย็นที่จำเป็นต่อการผลิต ทั้งนี้ การปล่อยมลพิษอาจคำนวณได้จากการปล่อยมลพิษโดยตรงหรือจากค่าปัจจัยการปล่อยมลพิษ (Emission Factor)

การปล่อยมลพิษทางอ้อมภายใต้ CBAM ครอบคลุมการปล่อยมลพิษขอบเขตที่ 2 และ 3 ตาม GHG Protocol ทั้งนี้ ข้อมูลขอบเขตที่ 2 ที่ผู้นำเข้าจะต้องรายงานตามมาตรการ CBAM จะครอบคลุมการใช้ไฟฟ้าระหว่างกระบวนการผลิตเท่านั้น เช่น การใช้ไฟฟ้าเพื่อก่อให้เกิดแสงสว่าง หรือเครื่องปรับอากาศของโรงงาน เป็นต้น สำหรับขอบเขตที่ 3 ซึ่งเป็นการปล่อยมลพิษขนาดใหญ่ที่สุดและวัดได้ยากที่สุดนั้น CBAM กำหนดให้ผู้นำเข้ารายงานการปล่อยมลพิษจากการผลิตวัตถุดิบต้นทางที่อยู่ภายใต้ขอบเขตการควบคุมของ CBAM เท่านั้น (ซีเมนต์ เหล็ก/เหล็กหล่อ อลูมิเนียม ไฮโดรเจน และปุ๋ย) ในระยะเริ่มต้นนี้ ผู้ผลิตยังไม่ต้องเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่มีความซับซ้อน เช่น การเดินทางของพนักงาน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ทั้งนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวัดมลพิษสำหรับแต่ละภาคส่วนในแนวปฏิบัติของคณะกรรมาธิการยุโรปได้ ที่นี่

 

CBAM: กำหนดอนาคตด้านการค้าและความยั่งยืน นัยยะต่อเศรษฐกิจประเทศไทย

จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ในปี 2565 ประเทศไทยส่งออกเหล็กมูลค่า 201 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอลูมิเนียม 111 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปยังประเทศต่าง ๆ ในสหภาพยุโรป ถึงแม้ว่ามูลค่าการส่งออกนี้จะคิดเป็นเพียง 1.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดในปี 2565 ก็ตาม แต่ขอบเขตของ CBAM ที่ขยายออกมาครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น พลาสติก จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น การส่งออกพลาสติกซึ่งมีมูลค่า 676 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 2.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

ผู้ส่งออกกลุ่มผลิตภัณฑ์ข้างต้นทุกรายมีหน้าที่รายงานการปล่อยมลพิษต่อสหภาพยุโรป ยกเว้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 150 ยูโร หรือผลิตภัณฑ์สำหรับใช้งานในกองทัพ ทั้งนี้ หลังจากระยะเปลี่ยนผ่าน ผู้ส่งออกชาวไทยจะต้องปฏิบัติตามกระบวนการที่เพิ่มขึ้น ทั้งการส่งรายงานให้กับผู้รับรองที่ได้รับอนุญาตเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และการชำระค่าภาษีคาร์บอนสุทธิจากจำนวนที่ได้จ่ายไปในประเทศต้นทาง

ความเสียเปรียบด้านเศรษฐกิจของผู้ส่งออกชาวไทย

จากข้อมูลของ Statista ราคาคาร์บอนในระบบ EU ETS ที่จะถูกนำมาใช้เป็นราคาคาร์บอนอ้างอิงในระยะเริ่มต้นนั้นมีมูลค่าผันแปรระหว่าง 80-100   ยูโรต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 โดยคาดการณ์ว่าราคาจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อกลไก CBAM ถูกนำมาใช้อย่างเต็มระบบจากความต้องการซื้อสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ในช่วงที่สิทธิ์การปล่อยแบบไม่มีค่าใช้จ่ายในระบบ EU ETS ค่อยๆ ถูกปรับลดลง เพื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ CBAM อย่างสมบูรณ์ โดยวิธีการหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงข้อเสียเปรียบทางเศรษฐกิจของผู้ส่งออกชาวไทยคือการคำนวณความแตกต่างของค่าใช้จ่ายในการปล่อยมลพิษต่อตันของผลิตภัณฑ์เทียบระหว่างประเทศไทยและผู้ส่งออกที่เป็นคู่แข่งรายอื่น ซึ่งสามารถดูตัวอย่างการเปรียบเทียบภาษีคาร์บอนของผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียมปฐมภูมิได้ในตารางต่อไปนี้

  เหล็ก: ประเทศไทย เหล็ก: ทั่วโลก เหล็ก: สหภาพยุโรป อลูมิเนียมปฐมภูมิ: ประเทศไทย อลูมิเนียมปฐมภูมิ: ทั่วโลก อลูมิเนียมปฐมภูมิ: สหภาพยุโรป
1ค่าคาร์บอน (เหรียญสหรัฐฯ/ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) 96.3 96.3 96.3 96.3 96.3 96.3
2การปล่อย (ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ตัน) 1.55 1.40 1.14 12.24 12.50 6.20
ภาษีคาร์บอน (1*2) (เหรียญสหรัฐฯ) 149.48 134.82 109.78 1,178.32 1,203.75 597.06
เปรียบเทียบกับประเทศไทย (%) -10% -27% 2% -49%

เมื่อพิจารณาข้อมูลในตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้ส่งออกชาวไทยมีความเสียเปรียบเนื่องจากมีภาระค่าภาษีคาร์บอนที่สูงกว่า และความเสียเปรียบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับผู้ผลิตในสหภาพยุโรป ในท้ายที่สุด ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้ผู้ซื้อชาวยุโรปต้องซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้นหรือผู้ส่งออกจะมีกำไรที่ลดลงจากการรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ไว้เอง ผลกระทบนี้มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงการส่งออกสินค้าตาม CBAM ของไทยไปยังประเทศอื่นนอกภูมิภาคยุโรปในระยะสั้นถึงระยะกลางหากมีผู้ซื้อสินค้ารายอื่น อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตจำเป็นต้องค่อยๆ พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตของตนให้ดีขึ้น รวมถึงพิจารณาเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากอีกไม่นานประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็จะบังคับใช้กลไกเช่นเดียวกันนี้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ความก้าวหน้าในปัจจุบันของหน่วยงานภาครัฐ

เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญครั้งนี้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้ร่วมมือกันจัดสัมมนาเกี่ยวกับมาตรการ CBAM โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและรวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับข้อวิตกกังวลในระยะเริ่มต้นของการบังคับใช้ CBAM ผู้ผลิตชาวไทยได้ขอรับความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยีการรายงาน การอนุญาตให้ใช้ผู้รับรองรายงานชาวไทยเพื่อลดต้นทุน และผ่อนปรนการลงโทษในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดในการรายงานโดยไม่ได้เจตนาในระยะปรับตัว ทั้งนี้ ในปัจจุบัน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่วมหารือกับผู้แทนสหภาพยุโรปเพื่อหาทางออกที่เป็นไปได้ในการช่วยบรรเทาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย โดยเราคาดว่าจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการเจรจาในอนาคตอันใกล้นี้

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกได้ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และมหาวิทยาลัยชั้นนำ 5 แห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คิดค้นหลักสูตรใหม่เพื่อสร้างอาชีพด้านความยั่งยืน โดยเน้นส่งเสริมความรู้เฉพาะทางด้านการจัดการการปล่อยคาร์บอน และการใช้งานคาร์บอนเครดิต โครงการทางด้านการศึกษามีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ CBAM ของภาคธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น

นอกเหนือจากโครงการทางด้านการศึกษาแล้ว องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกยังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบสำหรับการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยระบบดังกล่าวจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับผู้ผลิตชาวไทยในการรายงานการปล่อยคาร์บอนตามกฎเกณฑ์ของ CBAM โดยปัจจุบัน การพัฒนาระบบอยู่ในขั้นของการทำ Pilot Testing โดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมทดสอบหลายบริษัทด้วยกัน เมื่อการพัฒนาเสร็จสิ้น โครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนของผู้ส่งออกไทยในการรายงานได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

 

มุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนผ่าน: ความท้าทายและโอกาสสำหรับผู้ผลิตและสตาร์ทอัพ

เพื่อคงไว้ซึ่งความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ผู้ผลิตต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมหลัก 3 ประการ ได้แก่ การวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างถูกต้อง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินการเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้แม้จะมีความท้าทายในตัวเอง แต่ก็เอื้อประโยชน์ให้สตาร์ทอัพได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาได้

1. การวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างถูกต้อง

การวัดปริมาณการปล่อยมลพิษอย่างถูกต้องเปรียบเสมือนรากฐานของ CBAM และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาไร้กาลเวลาของปีเตอร์ ดรัคเกอร์ (Peter Drucker) ที่กล่าวไว้ว่า “คุณไม่สามารถบริหารจัดการสิ่งที่วัดค่าไม่ได้” ทั้งนี้  สตาร์ทอัพทั่วโลกกำลังแก้ไขปัญหานี้ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมในการวัดค่าคาร์บอนด้วย Carbon Accounting System ผู้ที่มีบทบาทในการจัดทำ Carbon Accounting System ที่มีชื่อเสียงในภูมิภาค เช่น Terrascope, RIMM, Unravel Carbon ผู้ให้บริการเหล่านี้ได้เริ่มพัฒนาระบบเพื่อแก้ไขปัญหาความท้าทายนี้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหานี้มีความซับซ้อน เนื่องจากมีหลายแง่มุมที่ต้องคำนึงถึง ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นภาพความท้าทายที่ชัดเจนมากขึ้น เราจะไปดูอุปสรรคที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญในปัจจุบันกัน

1.1 ปัญหาเรื่องความไม่ถูกต้องของข้อมูล ซึ่งส่วนมากเกิดจากความท้าทายในการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามขอบเขตที่ 3 อย่างถูกต้อง และความท้าทายในเรื่องมาตรฐานของข้อมูลที่มาจากหลายแหล่งที่แตกต่างกัน เช่น เครื่องมือ อุปกรณ์ ผู้ผลิตที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การรวมฟังก์ชันเหล่านี้เข้าไว้ใน Carbon Accounting System จะช่วยปรับปรุงความถูกต้องและลดปัญหาข้อมูลไม่เป็นมาตรฐานได้

1.1.1 การคำนวณคาร์บอนโดยใช้ Emission Factor (EF) – ปลดล็อคศักยภาพด้วยระดับความละเอียดของข้อมูล ปัจจัยสำคัญพื้นฐานของการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างถูกต้องคือความละเอียดและความพร้อมใช้ของข้อมูล  Emission Factor เป็นค่าเฉพาะอุตสาหกรรมที่สามารถนำมาใช้ในการคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนได้ เช่น จำนวนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หรือกรรมวิธีการผลิตที่ผู้ผลิตเลือกใช้

1.1.2 การบูรณาการตลอด Supply Chainการเชื่อมโยงผู้เล่นในระบบนิเวศเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างถูกต้อง ผู้ผลิตต้องติดตามวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ไปจนหมดอายุการใช้งาน โดยขยายขอบเขตออกไปนอกเหนือจากโรงงานของผู้ผลิตเองเพื่อให้ครอบคลุมไปถึงผู้ขายด้วย การบูรณาการข้อมูลใน Supply Chain นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากระบบสามารถรวบรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผู้ขายได้ทุกราย และมีข้อมูลครบถ้วน ระบบจะช่วยให้การวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามขอบเขตที่ 3 ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตเห็นภาพองค์รวม Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์

1.1.3 การจัดเก็บข้อมูลคาร์บอนโดยใช้เทคโนโลยี Blockchainเพิ่มความถูกต้องของข้อมูล ความถูกต้องของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความไม่ถูกต้องมักจะเกิดจากการขาดความเชื่อมั่นและความโปร่งใส การใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อเก็บข้อมูลคาร์บอนจะช่วยยกระดับความถูกต้องและความโปร่งใสของข้อมูลได้ การจัดเก็บข้อมูลคาร์บอนโดยใช้ Blockchain จะบันทึกข้อมูลพร้อมกับเวลา แล้วเชื่อมโยงข้อมูลธุรกรรมเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนไปยัง Decentralized Network การดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ข้อมูลที่รายงานมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แต่ยังทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถติดตามแหล่งที่มาของการปล่อยคาร์บอนได้อีกด้วย

1.2 ปัญหาการใช้แรงงานจำนวนมาก การวัดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในปัจจุบันเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายสูงและมีแนวโน้มจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้

1.2.1 การบูรณาการระบบและอุปกรณ์ศักยภาพของระบบอัตโนมัติ หนึ่งในความท้าทายของการวัดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในปัจจุบันคือเป็นกระบวนการที่ใช้แรงงานจำนวนมาก ซึ่งมักจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงและมีแนวโน้มจะเกิดความผิดพลาด ด้วยเหตุนี้ การเชื่อมโยง Carbon Accounting System เข้ากับเครื่องมือ เช่น IoT (เครื่องมือที่เชื่อมต่อและแบ่งปันข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต) ERP (ระบบบริหารจัดการทรัพยากรภายในองค์กร) หรือเครื่องจักรจะทำให้ธุรกิจสามารถปลดล็อคศักยภาพในการดึงข้อมูลตามกิจกรรมที่ดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการต่อยอดสู่ธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติที่จะช่วยลดการใช้แรงงานคน ส่งผลให้กระบวนการมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

1.2.2 Optical Character Recognition (OCR)จัดระเบียบทั้งเอกสารที่เป็นกระดาษและไฟล์ดิจิทัลได้อย่างราบรื่น การเก็บเอกสารที่เป็นกระดาษถือเป็นความท้าทายของการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีมาอย่างยาวนาน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้คนในการป้อนข้อมูล อย่างไรก็ตาม OCR จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยการเปลี่ยนตัวอักษรบนเอกสารรูปแบบกระดาษให้เป็นรูปแบบดิจิทัล วิธีนี้จะนำไปสู่กระบวนการคำนวณการปล่อยมลพิษที่มีประสิทธิภาพและสามารถดำเนินการได้โดยอัตโนมัติ การแปลงเอกสารเหล่านี้ให้เป็นรูปแบบดิจิทัลจะทำให้กระบวนการทั้งหมดรวดเร็ว ถูกต้อง และคุ้มค่าต้นทุนมากขึ้น

2. การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เมื่อวัดปริมาณการปล่อยมลพิษได้อย่างถูกต้องแล้ว ผู้ผลิตจะต้องลดมลพิษในระหว่างกระบวนการผลิตเพื่อลดการจ่ายภาษีคาร์บอนด้วย อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ยังมีอุปสรรคในการดำเนินงานต่าง ๆ ได้แก่ ข้อจำกัดด้านเทคนิค และข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ

2.1 ข้อจำกัดด้านเทคนิค การแก้ไขปัญหาข้อจำกัดด้านเทคนิคเพื่อลดมลพิษนั้นจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์หลายด้าน ผู้ผลิตต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การค้นหาวัสดุทางเลือกที่คงทนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานอย่างมากจำเป็นต้องหาแหล่งจ่ายพลังงานหมุนเวียน และจำเป็นต้องลดการปล่อยมลพิษในกระบวนการผลิตที่ปล่อยมลพิษสูง เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ หลายหน่วยงานมีการวิจัยและศึกษาเพื่อค้นหาทางออกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยมลพิษในหลาย ๆ ด้าน

2.2.1 วัสดุจากนวัตกรรม เพื่อการใช้วัสดุที่ยั่งยืนกว่า ปัจจุบันผู้ผลิตมีทางเลือกที่มากขึ้น เช่น โครงการริเริ่มเพื่อพัฒนา Inert anode สำหรับการหลอมอลูมิเนียมของ ELYSIS หรือการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ของ HARBOR Aluminum วัสดุที่ผลิตจากนวัตกรรมเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อลดการปล่อยมลพิษและพัฒนาอุตสาหกรรมให้ยั่งยืน

2.2.2 การลดก๊าซเรือนกระจกป้องกันการปล่อยมลพิษที่แหล่งกำเนิด อีกวิธีการหนึ่งที่มีการคิดค้นขึ้น คือการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างกระบวนการผลิต โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น การดำเนินการของ Analytics Shop เพื่อผลิตตัวยับยั้งการปลดปล่อยไนโตรเจน (Nitrification Inhibitors) ในปุ๋ย และความพยายามของ Hybrit ในการใช้ไฮโดรเจนสำหรับกระบวนการผลิตสินแร่เหล็กแทนการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้

2.2.3 การบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นการดำเนินงานอัจฉริยะ บริษัทอย่าง AltoTech, TIE-Smart และ Zenatix มีการให้บริการเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะเพื่อควบคุมการบริหารจัดการการใช้พลังงานภายในอาคารให้เหมาะสมและลดการปล่อยมลพิษ ส่งผลให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างยั่งยืน

2.2.4 การใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนพลังงานขาดแคลน เราจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย พบว่า ในปี 2564 ประเทศไทยใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเพียง 11% เท่านั้น ซึ่งยังมีค่าต่ำกว่าของสหภาพยุโรปที่มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเกือบ 40% ดังนั้น ประเทศไทยยังสามารถปรับปรุงการใช้พลังงานได้อีกมาก ทั้งนี้ บริษัทต่าง ๆ ที่มีการให้บริการพลังงานหมุนเวียน เช่น Clover Power และ First Korat Wind จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเติมเต็มการขาดแคลนพลังงานหมุนเวียนได้

2.2.5 เทคโนโลยีการดักจับก๊าซเรือนกระจก การดักจับมลพิษ โรงงานผลิตเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้น การดักจับการปล่อยมลพิษเหล่านี้ที่แหล่งกำเนิดจะทำให้เราสามารถป้องกันไม่ให้มลพิษถูกปล่อยออกสู่บรรยากาศจนก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกได้ ทั้งนี้ เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น  Carbon Capture, Usage, and Storage (CCUS) โดย Technip และ Linde ควบคู่กับเทคโนโลยี Direct Air Capture (DAC) ที่พัฒนาโดยบริษัทต่าง ๆ เช่น Carbon Engineering และ Climeworks ล้วนมีบทบาทสำคัญในการดักจับและลดการปล่อยมลพิษที่แหล่งกำเนิดโดยตรง

2.2 ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจมักมาพร้อมการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ที่มีความสะอาดมากขึ้น ข้อจำกัดนี้ถือเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับธุรกิจที่พยายามลด Carbon Footprint ตัวอย่างเช่น ต้นทุนการลงทุนแรกเริ่มที่มีมูลค่าสูง ต้นทุนการพัฒนาทักษะของแรงงาน และต้นทุนค่าเสียโอกาสจากช่วงที่โรงงานต้องหยุดทำงาน อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตมีทางเลือกหลากหลายในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากข้อจำกัดทางเศรษฐกิจเหล่านี้ เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน

2.2.1 Sustainable Finance – การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน กลยุทธ์หนึ่งที่สำคัญคือการใช้ทางเลือก Sustainable Finance ผู้ให้บริการต่าง ๆ เช่น GoParity และ BluePath Finance มีบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเงินทุนที่จำเป็นเพื่อลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ทั้งนี้ การดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเงินทุนในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในวงกว้างด้วย

2.2.2 การวิเคราะห์ข้อมูลและเครื่องมือเพื่อปรับค่าการปล่อยมลพิษอย่างเหมาะสมเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดจากการลงทุนเพื่อลดผลกระทบ ในโลกธุรกิจที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ บริษัทต้องทำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ว่าจะลงทุนเพื่อลดมลพิษที่ส่วนใด ดังนั้น การวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้เครื่องมือเฉพาะจึงมีบทบาทสำคัญมากในการช่วยระบุว่าการลงทุนในจุดใดของกระบวนการผลิตจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้มากที่สุด การดำเนินการเช่นนี้จะทำให้เจ้าของธุรกิจจัดลำดับความสำคัญในการใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำการตัดสินใจด้วยข้อมูลว่าจุดใดคือเป้าหมายที่จะสร้างผลกระทบสูงสุดในการลด Carbon Footprint

2.2.3 การวิเคราะห์ Supply Chain – การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ การวิเคราะห์ Supply Chain มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจเพื่อลด Carbon Footprint ผู้ผลิตสามารถค้นหาผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบที่มีการปล่อยมลพิษปริมาณต่ำภายใต้ขอบเขตของ CBAM ได้ โดยมีบริษัทผู้ให้บริการ Carbon Accounting System ต่าง ๆ เช่น Pantas และ Terrascope ที่มีบริการด้านการวิเคราะห์การปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน ที่สามารถให้ข้อมูลแก่ผู้ผลิตเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจจัดหาแหล่งวัตถุดิบจากผู้จัดจำหน่ายที่ดำเนินการโดยมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

3. การดำเนินการเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน

เมื่อผู้ผลิตได้ดำเนินการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนแล้ว ขั้นตอนสำคัญลำดับที่สามคือการจัดการการปล่อยมลพิษที่ยังคงเหลือไม่ว่าจะด้วยการจ่ายภาษีคาร์บอนหรือการซื้อคาร์บอนเครดิต ถึงแม้ว่าทั้งสองทางเลือกนั้นจำเป็นต้องใช้เงินลงทุน การจ่ายค่าคาร์บอนให้กับองค์กรที่สนับสนุนโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมภายในประเทศของตนย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนมีความซับซ้อนที่จำเป็นต้องใช้ความรู้เฉพาะทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังไม่ได้ประกาศกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนภายใต้ CBAM เราจึงจำเป็นต้องติดตามกฎระเบียบที่จะประกาศเพิ่มเติมในไตรมาสที่สองปี 2568 อย่างใกล้ชิด

หากกฎเกณฑ์ของ CBAM อนุญาตให้ทำได้ ขอบเขตของการชดเชยการปล่อยคาร์บอนด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตจะเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดขึ้นโดยสหภาพยุโรป โดยผู้ผลิตจะสามารถนำคาร์บอนเครดิตที่ซื้อมาหักออกจากค่าภาษีคาร์บอนที่ต้องจ่ายภายใต้ CBAM ในภาพรวมได้ จำนวนคาร์บอนเครดิตที่อนุญาตให้ซื้อได้ตามจริงจะขึ้นอยู่กับระเบียบของ CBAM และอาจแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเภทของอุตสาหกรรม และประวัติรายงานการปล่อยมลพิษ

ผู้ให้บริการ Carbon Credit Exchange เช่น T-VER และ Climate Impact X รวมถึง Renewable Energy Credit Exchange เช่น Innopower มักจะมีแนวปฏิบัติและการอบรมให้ความรู้เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตสำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังสามารถติดตามกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ของ CBAM ได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ CBAM เอง แหล่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการเพื่อชดเชยคาร์บอนได้อย่างราบรื่นและสอดคล้องกับข้อกำหนดของ CBAM เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนได้

บทบาทของสถาบันการเงินเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ CBAM อย่างราบรื่น

เมื่อผู้ผลิตเริ่มดำเนินการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและปรับเปลี่ยนกระบวนการให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ CBAM ผู้ผลิตจะเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายรูปแบบ นับตั้งแต่การวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยมลพิษ จึงถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการก้าวข้ามผ่านกระบวนการชดเชยคาร์บอนที่มีความซับซ้อน โดยในแต่ละขั้นตอนมีอุปสรรคเฉพาะที่ผู้ผลิตต้องเผชิญแตกต่างกันไป

อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของความท้าทายเหล่านี้มีจุดร่วมที่คล้ายกันคือ ความจำเป็นในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อรักษาสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน ในระยะเริ่มต้นของการวัดและลดการปล่อยมลพิษ ผู้ผลิตมักจะเผชิญกับอุปสรรคด้านการเงินเพื่อลงทุนในเครื่องมือ กระบวนการ และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ โดยข้อจำกัดด้านการเงินนี้อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความก้าวหน้าในการดำเนินงานได้

เมื่อเรามองในอีกแง่มุมหนึ่ง ผู้ผลิตที่ต้องทำการชดเชยการปล่อยคาร์บอนจะเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของความรู้ความเข้าใจจากความซับซ้อนของการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ความเข้าใจระเบียบของ CBAM และการบริหารจัดการกลยุทธ์การชดเชยการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ผลิตรู้สึกกังวลหากไม่มีความเชี่ยวชาญ

ความท้าทายเหล่านี้เปิดโอกาสให้สถาบันการเงินเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ผลิตเปลี่ยนผ่านไปสู่ CBAM ได้อย่างราบรื่น โดยสถาบันการเงินถือเป็นหน่วยงานที่อยู่ในสถานะที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาความท้าทายสำคัญทั้งสองประการได้ ดังนี้

1. การวัด 2. การลด 3. การทำธุรกรรม
 คำนิยาม การวัดคือกระบวนการประเมินและระบุปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศจากกิจกรรมของผู้ผลิต การลด หมายถึง การดำเนินการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการของผู้ผลิต การทำธุรกรรม หมายถึงกระบวนการซื้อหรือขายคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
 ประเด็น 1.1 ขาดข้อมูลที่ถูกต้อง

1.2 การใช้แรงงานจำนวนมาก

2.1 ข้อจำกัดด้านเทคนิค

2.2 ข้อจำกัดทางการเงิน

3.1 ขาดความรู้/ความเชี่ยวชาญ

3.2 ความซับซ้อนของระเบียบ

 บทบาทของ   สถาบันการ   เงิน

 

 

 

 

 

 

ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีและการปรับใช้เทคโนโลยีให้แพร่หลายโดยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

1.1 ผู้ให้บริการเงินกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีดอกเบี้ยต่ำ

1.2 ผู้ลงทุนในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศ

1.3 ผู้จัดการกองทุนเพื่อความยั่งยืน

1.4 พันธมิตรในการให้บริการเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศ

สร้างเสริมทักษะความรู้ให้ผู้ประกอบการด้วยทรัพยากรขององค์กร

2.1 ผู้สอนและให้ความรู้

2.2 ผู้ให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืนแก่ลูกค้า

2.3 ศูนย์รวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศที่น่าเชื่อถือ

การแก้ไขความท้าทายด้านเงินทุนสำหรับเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศ

1. ผู้ให้บริการเงินกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีดอกเบี้ยต่ำ: สถาบันการเงินสามารถยื่นมือเข้าช่วยได้ด้วยการเสนอเงินกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมดอกเบี้ยต่ำให้กับทั้งลูกค้ารายย่อยและบริษัทที่มองหาเงินทุนเพื่อพัฒนาและนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศมาใช้งาน การกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับผู้มีสิทธิ์กู้เงินและแนวปฏิบัติในการตรวจสอบการใช้เงินทุนที่ชัดเจนจะทำให้มั่นใจได้ว่า การใช้เงินทุนเพื่อการลดการปล่อยมลพิษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังสามารถร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและผู้บังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจเชิงนโยบายแก่ผู้ผลิตที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่ CBAM ได้ ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธนาคารหลายแห่งทั่วโลกได้เริ่มให้กู้ยืมเงินเพื่อสิ่งแวดล้อมแล้ว เช่น Deutsche Bank, OCBC, ธนาคารกรุงเทพ และ ธนาคารกสิกรไทย

2. ผู้ลงทุนในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศ: สถาบันการเงินสามารถช่วยเร่งรัดการพัฒนาเทคโนโลยีได้โดยการร่วมลงทุนใน Startups ด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศผ่านบริษัทเงินร่วมลงทุนในเครือ (Corporate Venture Capital) ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเข้าไปเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมนวัตกรรมและการเติบโตในเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศในภาพรวมด้วย ตัวอย่างของสถาบันการเงินที่ให้พันธสัญญาที่จะลงทุนเพื่อการลดผลกระทบ ได้แก่ HSBC และ ธนาคารกสิกรไทย

3. ผู้จัดการกองทุนเพื่อความยั่งยืน: สถาบันการเงินมีความสามารถในการบริหารจัดการกองทุนเพื่อความยั่งยืนสำหรับการลงทุนสาธารณะ โดยสามารถมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศหรือบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในดำเนินงานอย่างยั่งยืน การลงทุนเหล่านี้จะส่งเสริมให้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศและแนวปฏิบัติการดำเนินงานอย่างยั่งยืนเติบโต สถาบันการเงินที่ได้ดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว เช่น ธนาคารยูโอบี, Blackrock, ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารกสิกรไทย

4. พันธมิตรในการให้บริการเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศ: สถาบันการเงินสามารถร่วมมือกับผู้ให้บริการเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศในการนำเสนอบริการ เช่น Carbon Accounting System ในราคาที่เหมาะสม เพื่อการลดปริมาณการปล่อยมลพิษได้ ความร่วมมือในลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้ผลิตที่มองหาวิธีการลดการปล่อยมลพิษสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่จำเป็นได้มากขึ้น

การสร้างเสริมทักษะความรู้ให้ผู้ประกอบการ

1. ผู้สอนและให้ความรู้: สถาบันการเงินสามารถจัดงานสัมมนาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ CBAM และหัวข้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนได้ ซึ่งโครงการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ผลิตมีความรู้ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการชดเชยการปล่อยคาร์บอนที่มีความซับซ้อน ตัวอย่างของสถาบันการเงินที่ได้ดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว เช่น Commonwealth Bank of Australia, Santander Bank และ ธนาคารกสิกรไทย

2. ผู้ให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืนแก่ลูกค้า: สถาบันการเงินสามารถอบรมให้ความรู้แก่ผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าขององค์กรให้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศและ CBAM เพื่อให้คำปรึกษากับลูกค้า และให้คำแนะนำลูกค้าเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์ รวมถึงผู้ให้บริการเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว เช่น HSBC และ ธนาคารกสิกรไทย

3. ศูนย์รวมทรัพยากรทางเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศที่น่าเชื่อถือ: สถาบันการเงินสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากร และจากเครือข่ายขององค์กรเพื่อจัดทำรายชื่อผู้ให้บริการเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ การที่สถาบันการเงินช่วยวิเคราะห์ธุรกิจของผู้ให้บริการเหล่านี้ในเชิงลึก และแนะนำรายชื่อให้กับผู้ผลิตที่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยมลพิษช่วยให้ผู้ผลิตมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ

 

บทสรุป

ในช่วงของการก้าวเข้าสู่ยุค CBAM ผู้ผลิตไม่ได้อยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านนี้เพียงลำพัง ยังมีผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมากที่พยายามร่วมผนึกกำลังเพื่อก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของธุรกิจ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สตาร์ทอัพ นักลงทุน หรือสถาบันการเงิน ความท้าทายและโอกาสที่เกิดจาก CBAM ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอุตสาหกรรมหรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง แต่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการสตาร์ทอัพที่เป็นผู้นำในการใช้นวัตกรรมเพื่อช่วยให้ผู้ผลิตอยู่รอดในช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้ สตาร์ทอัพที่ทุ่มเทเพื่อริเริ่มทำสิ่งเหล่านี้และมีวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลจะมีศักยภาพโดดเด่นในการแก้ไขความท้าทายที่ซับซ้อนของ CBAM บริการและความเชี่ยวชาญของสตาร์ทอัพ เหล่านี้จะเอื้อให้ผู้ผลิตไม่ต้องเสียเวลาสร้างเครื่องมือขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยเร่งขับเคลื่อนให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และก้าวเข้าสู่การดำเนินงานอย่างยั่งยืนได้

แม้ว่าผลกระทบของ CBAM ในระยะแรกจะดูไม่รุนแรงมากนักสำหรับภูมิภาคที่ไม่ได้จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออกสินค้าที่ก่อให้เกิดคาร์บอนสูงไปยังสหภาพยุโรป ผู้มีส่วนได้เสียต้องตระหนักถึงภาพรวมการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกด้วย ยุคของภาษีคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา กำลังพิจารณานำมาตรการลักษณะเดียวกันมาปรับใช้ โดยปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ระหว่างการพิจารณาออกกฎหมาย Clean Competition Act ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ผลิตต้องจ่ายภาษีคาร์บอนสำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดคาร์บอนสูง ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ในปี 2567 ตัวอย่างผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศไทยหากมีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้สามารถพิจารณาได้จากมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น ในปี 2565 ประเทศไทยมีการส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กไปยังประเทศสหรัฐอเมริการวม 4,510 ล้านเหรียญสหรัฐ และการส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมรวม 1,433 ล้านเหรียญสหรัฐ การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคแห่งการกำหนดราคาคาร์บอนที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปล่อยมลพิษสำหรับภาคธุรกิจอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ในปัจจุบัน ผู้ผลิตเริ่มหันมาปรับใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงนี้นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญเพื่อมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน ถึงแม้ว่าจะก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นต่อภาคธุรกิจในระยะเริ่มต้น ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาสูงขึ้นและส่งผลกระทบไปถึงผู้บริโภคในท้ายที่สุด เมื่อสังคมเริ่มมีความตื่นตัวในด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น สาธารณชนมีแนวโน้มที่จะหันมานิยมผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดคาร์บอนต่ำมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะช่วยปูทางสู่ตลาดที่คำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

การปรับตัวต่อมาตรการ CBAM และความท้าทายที่เกิดขึ้นช่วยให้หลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต สตาร์ทอัพ นักลงทุน หรือสถาบันการเงิน มีโอกาสทำงานร่วมกันเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกสู่อนาคตที่สะอาดและยั่งยืนมากขึ้น ทั้งนี้ การปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำไม่เพียงแต่จะสร้างความท้าทาย แต่ยังส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นด้วย

 

ผู้เขียน: เบญจมาศ ทู้สกุล

บรรณาธิการ: วรพจน์ กิ่งแก้วก้านทอง

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  • https://www.consilium.europa.eu/en/press/press-releases/2022/03/15/carbon-border-adjustment-mechanism-cbam-council-agrees-its-negotiating-mandate/
  • https://kpmg.com/xx/en/home/insights/2022/08/carbon-border-adjustment-mechanism-impacts.html
  • https://taxation-customs.ec.europa.eu/carbon-border-adjustment-mechanism_en
  • https://www.pwc.ch/en/insights/tax/eu-deal-reached-on-the-cbam.html
  • https://www.europarl.europa.eu/legislative-train/package-fit-for-55/file-carbon-border-adjustment-mechanism
  • http://env_data.onep.go.th/reports/subject/view/128
  • https://watchwire.ai/5-carbon-accounting-challenges-and-how-address-them/
  • https://www.pwc.com/m1/en/services/tax/me-tax-legal-news/2023/eu-carbon-border-adjustment-mechanism.html
  • http://www2.ops3.moc.go.th/
  • https://mgronline.com/business/detail/9660000048165
  • https://carboncredits.com/congress-introduces-us-cbam-clean-competition-act/