การที่ Disney รวมถึงผู้ให้บริการสตรีมมิ่งรายใหม่อย่าง Apple เข้ามาท้าชิงกับ Netflix ที่เป็นเจ้าตลาดแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเจ้าตลาดในเวลานี้ แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่เปิดกว้างของการ ให้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ผู้ชม พร้อมที่จะเลือกสิ่งที่เหมาะกับการใช้งานมากที่สุด
ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จะกลายเป็นศักราชใหม่ของบริการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่างแท้จริง เมื่อ Netflix ต้องเจอคู่ท้าชิงรายใหญ่อย่าง Disney+ และ Apple TV+ ที่จะทยอยเปิดให้บริการ ด้วยจุดเด่น สำคัญคือราคาที่ต่ำกว่า
สิ่งที่ Disney+ มี นั้นคือการเป็นเจ้าของ – ผู้ผลิต ที่มีคอนเทนต์คุณภาพจำนวนมากอยู่ในมือ แล้วใครเล่าจะปล่อยคอนเทนต์เหล่านี้ให้ไปช่วยแพลตฟอร์มอื่นสร้างรายได้ไปทำไม จึงเกิดความคิดริเริ่มให้ บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเองขึ้นมา
จุดขายสำคัญของ Disney+ คือการที่มีภาพยนตร์ และซีรีส์ ที่เคยผลิตขึ้นมา รวมถึงคอนเทนต์การ์ตูนสำหรับเด็กจำนวนมาก ช่วยเปิดฐานลูกค้าของ Disney+ ให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของครอบครัวมากขึ้น เพราะทั้งผู้ใหญ่ ก็สามารถเข้าถึงภาพยนตร์ และซีรีส์ที่ชื่นชอบ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถเปิดการ์ตูนให้เด็กได้รับชม
ในขณะที่ Apple TV+ ก็เห็นเทรนด์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน และยังมีประสบการณ์จากการให้บริการดิจิทัล เซอร์วิสอย่าง iTunes และ Apple Music มาก่อนหน้า ทำให้เห็นช่องว่างที่สามารถเข้าไปให้บริการได้ ด้วยการดึงผู้ผลิตคอนเทนต์ เข้ามาสร้าง Original Content ที่ไม่สามารถหาชมที่ไหนได้บนแพลตฟอร์ม Apple TV+
จุดแข็งของ Apple TV+ ในช่วงแรกจึงไม่ใช่เรื่องของคอนเทนต์ที่แข็งแรง เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ว่าที่ลืม ไม่ได้เลยคือ Apple มีอีโคซิสเตมส์ที่พร้อมซัพพอร์ตบริการ เพราะสิ่งแรกที่ Apple ทำในงานเปิดตัวอย่าง เป็นทางการคือ การประกาศให้สิทธิลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของ Apple หลังจากวันที่ 10 กันยายน เข้าใช้บริการ APPLE TV+ ได้ฟรี 1 ปี
จะเห็นได้ว่าทั้ง Disney+ และ Apple TV+ จะมีจุดแข็งที่แตกต่างกันไป และเชื่อได้ว่าทั้ง 2 จุดแข็งนี้ จะกลายมาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ชมมีโอกาสเลือกเข้าไปใช้บริการของทั้ง 2 รายไม่ว่าจะเป็นในแง่ ของเข้าไปแทนที่ Netflix หรือการสมัครเพื่อใช้บริการเพิ่มเติม
เพราะเมื่อ Netflix ไม่มีคอนเทนต์ Disney ถ้าผู้ชมต้องการแล้วราคาไม่สูงสามารถเข้าถึงได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสมัครเข้าไปลองใช้งานดู เช่นเดียวกับ Apple TV+ ที่เรียกได้ว่าให้บริการฟรี 1 ปี สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าใหม่ของ Apple ก็ไม่มีเหตุผลอีกเช่นกันที่จะทำให้ไม่เปิดเข้าไปใช้งาน
ดังนั้น ในมุมของสตาร์ทอัพสายคอนเทนต์ สิ่งที่ต้องทำไม่ใช่แค่การพัฒนาระบบ หรือแพลตฟอร์ม ขึ้นมาเพื่อให้บริการแต่เพียงอย่างเดียว เพราะต้องมองถึงแกนหลักสำคัญคือคอนเทนต์ และอีโคซิสเตมส์ที่จะเข้ามาช่วยเกื้อหนุนให้ผู้บริโภคนำไปใช้งานด้วย โดยเฉพาะเรื่องของ การจ่ายเงินสมัครใช้บริการที่ยิ่งสะดวกมากเท่าไหร่ โอกาสที่ลูกค้าจะใช้งานก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่าสตาร์ทอัพทุกรายไม่สามารถเชี่ยวชาญในทุกๆ เรื่องได้ ทำให้แนวทางที่น่าสนใจคือการเข้า ไปเป็นพันธมิตรกับผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อร่วมเติบโตไปด้วยกัน